ตอนนี้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่าในญี่ปุ่นก็เรียกว่าอาการยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไรนะครับ ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในทุกวัน แต่ตอนนี้คนญี่ปุ่นเองก็เหมือนจะเริ่มใช้ชีวิตกันตามปกติแล้ว เพราะสาธารณสุขในประเทศยังรับมือกับผู้ป่วยไหว ดังนั้นคนญี่ปุ่นบางส่วนโดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างโตเกียวที่มีผู้ติดเชื้อค่อนข้างมากอยู่แล้วก็เลยไม่รู้สึกวิตกกังวลมาก เพราะคิดว่าถึงเป็นถึงติดก็รักษาหายได้ ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลกันขนาดนั้น
ในทางกลับกัน คนกลุ่มที่อยู่ในจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อน้อยกลับมีความรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องไวรัสค่อนข้างมาก เช่น ในจังหวัดอิวาเตะ ที่เคยเป็นจังหวัดสุดท้ายของญี่ปุ่นยังไม่พบผู้ติดเชื้อ เมื่อสัปดาห์ก่อนก็ได้พบผู้ติดเชื้อเป็นรายแรกแล้ว เรียกว่ากลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทำเอาอิวาเตะปั่นป่วนกันทั้งจังหวัดเลย
ส่วนผู้ที่ติดเชื้อ แม้ข่าวจะไม่มีการบอกชื่อว่าเป็นใคร แต่ก็พบว่ามีชาวบ้านที่รู้และเข้าไปต่อว่า ทั้งด่าทอและเขียนจดหมายขู่ หลายคนโทษฐานที่ทำให้จังหวัดอิวาเตะมีผู้ติดเชื้อเป็นรายแรก จนผู้ว่าราชการจังหวัดต้องออกมาแถลงการณ์เตือนให้ชาวบ้านหยุดการกระทำแบบนั้น มิฉะนั้นจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม จากการทำแบบสำรวจแล้ว เขาพบว่า ในปัจจุบันนี้ซึ่งเป็นฤดูร้อนในญี่ปุ่นนั้น ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่าไม่อยากใส่หน้ากากอนามัยอีกต่อไป เพราะมันทั้งร้อน ทั้งอึดอัด และหายใจไม่สะดวก แต่เหตุผลที่คนญี่ปุ่นยังคงใส่หน้ากากอนามัยกันอยู่ ก็ไม่ใช่เพื่อป้องกันไวรัส แต่ใส่ด้วยเหตุผลที่ว่า “ไม่อยากดูแตกต่างจากคนอื่น”
ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้เกิดเรื่องที่ไม่น่าเชื่อขึ้นในโตเกียวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาครับ เมื่อมีคนกลุ่มนึงประกาศสร้าง クラスターフェス หรือ เทศกาลเหล่าคลัสเตอร์ คำว่าคลัสเตอร์นี้เป็นศัพท์ที่เขาใช้กันในช่วงนี้ หมายถึงกลุ่มผู้ติดเชื้อที่มารวมกลุ่มอยู่ในที่เดียวกันนั่นเอง
โดยงานเทศกาลเหล่าคลัสเตอร์มีแกนนำ คืออดีตผู้สมัครผู้ว่าโตเกียวคนนึงที่เพิ่งแพ้การเลือกตั้งในโตเกียวเมื่อไม่นานมานี้ เพราะเขามีสโลแกนที่ว่า “ไวรัสโคโรน่ามันก็แค่ไข้หวัด” และนโยบายของเขาก็คือการยกเลิกมาตรการป้องกันไวรัสทุก ๆ อย่าง ทั้งการใส่หน้ากาก ล้างมือ กักตัว และให้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ
แน่นอนว่าก็โดนชาวญี่ปุ่นด่ากระจาย ทำให้เขาแพ้การเลือกตั้งไปอย่างยับเยิน แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ และกลับมาอีกครั้งพร้อมแนวคิดแบบเดิม ๆ ว่า “ไวรัสโคโรน่ามันก็แค่ไข้หวัด” และคราวนี้เขาก็ได้เชิญชวนคนญี่ปุ่นให้ออกมาร่วมเทศกาลเหล่าคลัสเตอร์กับเขาด้วย
ด้วยการประกาศให้มารวมตัวกันที่ลานชิบูย่า ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของโตเกียว และมีผู้คนพลุกพล่านอยู่ตลอดเวลา แถมก่อนหน้านั้นยังเชิญชวนคนที่มีแนวคิดเหมือน ๆ กันให้มาขึ้นรถไฟรอบโตเกียวเพื่อมายังชิบูย่า โดยไม่ใส่หน้ากากอนามัย พร้อมกับชูป้ายและใส่เสื้อแสดงข้อความต่าง ๆ ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการป้องกันเชื้อโรค
เขาบอกว่าการทำแบบนี้เป็นการทำเพื่อให้คนญี่ปุ่นรู้ตัวว่าการใส่หน้ากากอนามัยนั่นแหละที่เป็นสิ่งผิดปกติ และเขาต้องการให้คนที่ใส่หน้ากากอนามัยนั้น ต้องเป็นฝ่ายที่รู้สึกแปลกแยกในสังคมบ้าง เหมือนที่พวกเขาซึ่งไม่ใส่หน้ากากอนามัยต้องโดนมาตลอด
ตลอดการจัดกิจกรรมนี้ ก็มีการถ่ายวิดีโอและอัปโหลดขึ้นในอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ก่อนที่เขาจะมารวมตัวกันที่ชิบูย่า เพื่อชูป้ายแล้วก็ประกาศข้อความที่ว่า “ไวรัสโคโรน่าเป็นแค่ Fake news จริง ๆ แล้วมันคือไข้หวัดธรรมดา” บางคนก็เขียนป้าย “อยากติดไวรัสจุงเบยยย” ที่สำคัญก็คือผู้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ มีทั้งแม่ลูกอ่อน รวมถึงเด็ก ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหากติดไวรัสอีกด้วย
แน่นอนว่าเรื่องนี้ถูกคนญี่ปุ่นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักถึงความไม่เหมาะสม แต่เพราะว่าตอนนี้ในโตเกียวก็ไม่ได้มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน จึงไม่มีกฎหมายใด ๆ ที่สามารถเล่นงานหรือควบคุมคนที่มาร่วมงานเทศกาลเหล่าคลัสเตอร์นี้ได้
แม้คนส่วนใหญ่จะดูไม่เห็นด้วยกับการกระทำแบบนี้ หลังจากการจัดกิจกรรมเทศกาลเหล่าคลัสเตอร์ ก็ทำให้พบว่าก็มีคนญี่ปุ่นอยู่จำนวนหนึ่งที่เห็นด้วยกับแนวคิดแบบนี้เช่นกัน อาจด้วยความที่ตอนนี้ญี่ปุ่นเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว การใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาในช่วงฤดูร้อนก็เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นชินสำหรับคนญี่ปุ่นก็เลยทำให้มีคนออกมาต่อต้านในเรื่องนี้มากขึ้นก็เป็นได้
เช่น หลังจากเหตุการณ์นี้ไม่นาน ก็เริ่มมีร้านค้าบางร้านที่ติดป้ายสนับสนุนแนวคิดนี้ รวมถึงที่เรียกเสียงวิจารณ์หนักที่สุดก็คือร้านสะดวกซื้อชื่อดังร้านหนึ่งที่ขึ้นป้ายหน้าร้านเอาไว้ว่า “ไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัยเข้าร้าน” โดยเขาให้เหตุผลว่ามันจะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายต่ำ ก่อให้เกิดมะเร็งปอด และอาจเป็นลมแดด แต่แน่นอนว่าหลังจากกลายเป็นข่าวใหญ่ ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ก็ต้องรีบออกมาขอโทษ พร้อมทั้งปลดป้ายทั้งหมดออก
เรื่องทั้งหมดนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป จำนวนผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่นก็ยังไม่ได้ลดจำนวนลง การที่ใครจะมีแนวคิดแบบไหนนั้น ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล ถ้าอยากจะไม่ใส่หน้ากาก อยากติดเชื้อแล้วตัวเองติดเองคนเดียว อันนั้นก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณไปแพร่เชื้อให้คนอื่นด้วยแนวคิดหรือความเชื่อของคุณ อันนี้ก็คงเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับไม่ได้เช่นกัน
ติดตามบทความใหม่เกี่ยวกับเรื่องน่ารู้และเรื่องแปลก ๆ ของประเทศญี่ปุ่นทาง LINE TODAY: TOP PICK TODAY จากผมได้ทุกวันเสาร์นะครับ
ช่องทางการติดตามเพิ่มเติม
Facebook :Eak SummerSnow
Youtube : Eak SummerSnow
ศุภากร เมื่อมีพวกที่ต้องการเช่นนี้ก็ต้องมีการแก้กฏหมายโดยจะเป็นต้องจ่ายค่ารักษาเองและถ้านำไปติดคนอื่นคนที่ติดสามารถเรียกร้องค่ารักษาได้ จึงสมเหตุสมผล
15 ส.ค. 2563 เวลา 02.04 น.
ตราบใดที่ยังมีความประมาทก็ย่อมที่จะทำให้เกิดความสูญเสียขึ้นมาได้เสมอไม่ว่าจะเป็นปท.ใดก็ตาม
15 ส.ค. 2563 เวลา 05.44 น.
Nutchimaru คนรุ่นใหม่ รวมตัวทำอะไรที่ไม่ฉลาด เหมือนเมืองไทยเลย
15 ส.ค. 2563 เวลา 06.15 น.
Supoth พวกนี้ บ้าไปแล้ว เหมือนคนไทย ที่บ้าดูคอนเสิร์ต ลืมตัว การ์ดตก แล้วก็จะติดโรค
15 ส.ค. 2563 เวลา 07.02 น.
S. Tanupun คนประเทศนี้มีครบทุกประเภท มีระเบียบวินัย, โรคจิตร, วิตถาร, เก็บกด, บางอย่างก็ทำตามกฏเกณฑ์, บางพวกก็แหกกฏเกณฑ์...
จะดีหรือไม่ดีกันนี่...
15 ส.ค. 2563 เวลา 11.25 น.
ดูทั้งหมด