สุขภาพ

เมื่อ Selfie ร้ายกว่าฉลาม และลุกลามสู่บริบทองค์กร โดย อนิรุทธ์ ตุลสุข

กรุงเทพธุรกิจ
อัพเดต 08 มี.ค. เวลา 01.58 น. • เผยแพร่ 08 มี.ค. เวลา 08.58 น.

โดยในสารคดีนี้ เขาบอกตัวเลขชัดๆ ว่า มีจำนวน 379 ราย จากหลายประเทศ ในช่วงระหว่างปี 2008 -2021

อันที่จริงก็ถือว่าไม่มากไม่มาย แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ทำไมแค่การหันกล้องมาถ่ายรูปตัวเอง จึงสามารถคร่าชีวิตคน ได้มากกว่านักล่าแห่งท้องทะเลอย่างฉลามขนาดนั้น?

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

โดยทั่วไป การถ่ายรูปแบบเซลฟี่ไม่ได้มีอันตรายเลย จนกระทั่ง… ผู้ถ่ายเซลฟี่หลายคน สนใจแต่ภาพตัวเองบนหน้าจอมากเกินไป จนละเลยความสนใจ “สิ่งรอบตัว”

ในการทำงานก็มี “ทัศนคติแบบเซลฟี่” ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน ที่คิดถึงตัวเองเป็นอันดับแรกแต่หากมากจนเกินพอดี ทัศนคติแบบ Selfie มักบ่มเพาะความคิดแบบ Selfish ให้เติบโต และนำพาไปสู่อันตรายได้เช่นกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

สร้างความขัดแย้งบ้าง แล้วทีมงานจะแข็งแรงขึ้น โดยอนิรุทธ์ ตุลสุข

ผัก-ผลไม้ ที่ไม่แนะนำให้ทานหน้าร้อน ยิ่งทานสุขภาพยิ่งแย่

ทัศนคติการทำงานแบบเซลฟี่ที่เกินพอดี ก็คือ การเน้นที่ตัวเองเป็นหลัก ปรารถนาการยอมรับ ใส่ใจประโยชน์ และภาพลักษณ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ผลที่ตามมาคือ ข้อจำกัดทางมุมมอง เกิดมุมอับสายตาจนมองไม่เห็นว่า สิ่งต่างๆ ล้วนเป็นระบบที่พึ่งพิงกัน และเป็นฟันเฟืองที่ส่งแรงเสริมกำลังให้กันและกันเสมอ การคิดแบบนี้จึงไม่ส่งเสริมระบบนิเวศน์ที่ทำให้ทุกฝ่ายไปสู่สำเร็จร่วมกันได้เลย

ในระดับพนักงาน การไม่คำนึงถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่น สิ่งแรกที่จะเกิด คือ บรรยากาศการทำงานในทีมแย่ลง เพราะขาดความสัมพันธ์ที่ดี ละเลยการช่วยเหลือเกื้อกูล เมื่อความสัมพันธ์ย่ำแย่ ความเป็นทีมจึงไม่เกิดขึ้น จนกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน จนบรรลุเป้าหมายของทีมได้ยากขึ้น

บางกรณี คนทำงานไม่คำนึงถึงมุมขององค์กรก็จะคิดแต่ว่าองค์กรเอาเปรียบตนเองอยู่ร่ำไป ท้ายที่สุด ก็ไม่มีความสุขในการทำงาน แม้ว่าจะไปอยู่ที่ใด ก็ยังรู้สึกคับอกคับใจ โดยหารู้ไม่ว่า แท้จริงปัญหาเกิดจากมุมมองที่คับแคบแบบเซลฟี่ของตนเองจนเกินพอดี

ในระดับทีมงาน บางสถานการณ์ทีมทำงาน ก็ต้องมองเป้าหมายที่มีร่วมกันกับหน่วยงานอื่นๆ ด้วย หากฝ่ายใดทำงานด้วยทัศนคติการทำงานแบบ Selfie มากเกินไป ก็จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นการทำงานแบบ Silo อีกด้วย เพราะมัวจะเอาแต่เป้าหมายของทีมงานตัวเอง โดยไม่คำนึงว่าหน่วยงานอื่นก็เป็นตัวแปรหนึ่งในสมการแห่งความสำเร็จนี้

เมื่อการประสานงานไม่เชื่อมโยง ขาดการแบ่งปันข้อมูลกัน ต่อไปก็เกิดการแข่งขันที่ไม่สร้างสรรค์ หรือ เกิดแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย จนบานปลายกลายเป็นปัญหาการเมืองในองค์กร

ในระดับผู้นำ ผู้บริหารที่คิดถึงแต่ตนเอง มักจะขาดซึ่งความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น (Empathy) จึงส่งผลต่อความไว้วางใจ (Trust) และกระทบต่อภาวะผู้นำ (Leadership) โดยตรง ทำให้พนักงานจะรู้สึกว่าไม่ได้รับการสนับสนุนในการทำงาน รู้สึกว่าถูกลดทอนคุณค่า จนขาดแรงจูงใจในการทำงานอีกด้วย

ยามทีมมีปัญหา ผู้บริหารที่มีทัศนคติแบบเซลฟี่บางคน ก็มักตัดช่องน้อยแต่พอตัว เอาแค่ตัวเองลอดได้ (อันนี้สะกดถูกแล้วนะครับ ฮา) ต่างจากตอนทีมได้ผลงานลิบลับ ที่มักปรี่มารีบรับหน้าอยู่ผู้เดียว

ถ้าพฤติกรรมมาถึงขั้นนี้แล้ว Selfie ที่ร้ายกว่าฉลาม ก็ลุกลามไปสู่ทัศนคติที่อันตรายในระดับองค์กรแล้วครับ

ผลที่ตามมาคือ บรรดาคนดีๆ มีความสามารถก็เอือมระอา ไม่มีใครอยากจะเสียเวลาฝากอนาคตตัวเองด้วย เพราะหันหน้าไปทางใดก็เห็นแต่คนที่มองตัวเองเป็นที่ตั้ง แถมขยันขัดแย้ง แย่งซีนกัน แล้วสะท้อนออกมาเป็นวัฒนธรรมที่เป็นพิษ ลุกลามไปทั่วทั้งองค์กร

องค์กรเองก็เสียประโยชน์จากการขาดบุคคลากรที่มีคุณภาพ คนที่พร้อมจะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างโอกาสเติบโต หรือ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่รุนแรงในปัจจุบันไปอย่างน่าเสียดาย

การมองโลกแบบเซลฟี่นั้น เป็นมุมมองที่มีข้อจำกัดมาก ไม่ว่าจะพยายามยืดเหยียดแขน หันซ้ายขวาหามุมอย่างไร ติดแต่ภาพตัวเอง จนมองภาพรวมในมุมกว้างได้ยาก

ทางแก้จึงต้องหาโอกาส เริ่มฝีกการมองโลกจากมุมมองอื่นๆ บ้าง เช่น เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หัวหน้า หรือ แม้แต่องค์กร จากนั้น ต้องรู้จักการให้เกียรติ เชื้อเชิญให้คนอื่นๆ เข้ามาอยู่ในเฟรมแห่งความสำเร็จร่วมกัน มีทักษะการชักชวนพูดคุย ให้ได้ไอเดียว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องจะทำอะไรร่วมกัน เพื่อให้ภาพรวมออกมาดีได้ ตลอดจนการหัดมองถึงสถานการณ์และผลกระทบรอบด้าน ในมุมที่กว้างกว่าแค่ผลที่กระทบต่อตัวเองเพียงอย่างเดียว

เมื่อก้าวข้ามมุมมองแบบเซลฟี่ได้ สุดท้ายเราก็จะได้ภาพแห่งความสำเร็จที่คนทำงานทุกฝ่ายแฮปปี้ และมีรอยยิ้มที่ยั่งยืนกว่าเดิม

หากสร้างบรรยากาศการทำงานแบบนี้ ให้เกิดขึ้นในองค์กรได้ มันก็จะน่าชื่นใจกว่า จริงไหมครับ?

ดูข่าวต้นฉบับ