หลังเลือกตั้งเดือนเศษ มีการเร่งเครื่องหลายเรื่องจากรัฐบาลคสช. ทั้ง ๆ ที่อยู่ในภาวะนับถอยหลังทางอำนาจ แต่กลับใช้อำนาจแบบเต็มไม้เต็มมือ ทั้งการออกคำสั่งตามมาตรา 44 อุ้มทุนโทรคมนาคม ล่าสุด เตรียมใช้งบกลาง 1.5 หมื่นล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีนำไปเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด รายละ 1,500 บาท
หากเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งปกติจะไม่สามารถดำเนินการลักษณะนี้ได้ เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการที่มีข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 (3) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับคามเห็นชอบจาก กกต.ก่อน
*เหตุผลที่รัฐธรรมนูญกำหนดเช่นนั้น ก็เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งได้เข้ามาเป็นผู้กำหนดนโยบาย รวมถึงป้องกันไม่ให้รัฐบาลช่วงเปลี่ยนผ่านใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง *
แต่เงื่อนไขเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับรัฐบาล คสช. ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น คือ ใช้อำนาจเต็มที่ อนุมัติงบประมาณเต็มสูบ ท่ามกลางข้อกังขาว่าประเทศชาติได้ประโยชน์จริงหรือ
โดยเฉพาะกรณีล่าสุดในการแจกเงินเที่ยวเมืองรอง ตามแผนของกระทรวงการคลังกำหนดผู้มีสิทธิเข้า โครงการต้องเป็นคนไทยที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป นับแต่วันเริ่มโครงการ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตถึงการกำหนดเงื่อนไขอายุ 18 ปีบริบูรณ์ว่า บังเอิญเป็นอายุเริ่มต้นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งพอดิบพอดี
เงื่อนไขต่อมาของโครงการนี้คือ จะต้องลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชัน ขอใช้ระบบกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้รัฐเติมเงิน 1,500 บาทเข้ากระเป๋าเงินดังกล่าว นำไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่ลงทะเบียนคิวอาร์โค้ดไว้ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีคนเข้าร่วมโครงการลงทะเบียนราว 10 ล้านคน กำหนดกรอบเวลาใช้เงินเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัดภายในเดือนมิถุนายนเท่านั้น
*จะเห็นได้ว่าข้อกำหนดในการแจกเงินครั้งนี้ ยังคงอยู่บนฐานความคิดแบบเดิมที่รัฐเคยแจกจ่ายเงินช่วยผู้มีรายได้น้อย ให้ใช้จ่ายผ่านร้านธงฟ้าประชารัฐ ทำให้การแจกเงินถูกนำไปใช้แบบกระจุกไม่กระจาย จนทำให้ไม่เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่รัฐวางเป้าหมายไว้ *
แม้ในครั้งนี้จะมีการขยายขอบเขตการใช้เงินให้ครอบคลุมถึงร้านค้าที่มีคิวอาร์โค้ดของทุกธนาคารพาณิชย์ไม่จำกัดแค่กรุงไทยหรือร้านธงฟ้า แต่ก็ยังไม่เปิดกว้างให้ประชาชนที่ได้รับเงินใช้จ่ายได้โดยเสรี การกระจายเงินจึงไม่เป็นไปในวงกว้าง ทำให้เป้าหมายที่คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจจึงมีคำถามว่าจะได้ประโยชน์สูงสุดจริงตามที่รัฐบาลวางไว้หรือไม่
เพราะรัฐบาลคสช.กระตุ้นเศรษฐกิจมาแล้วหลายรอบ โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เคยระบุไว้ในรายการศาสตร์พระราชาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560 ว่า 3 ปีรัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนฐานรากไปแล้วกว่า 2 ล้านล้านบาท
มาวันนี้บริหารประเทศ 5 ปีแล้ว ยอดการใช้เงินย่อมเพิ่มตามไปด้วย แต่ยังต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา จึงควรทบทวนแล้วว่าวิธีการที่ทำ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำได้จริงหรือเปล่า
ข้อน่าสังเกตอีกประเด็นหนึ่งคือการกำหนดให้บุคคลที่อายุ 18 ปีบริบูรณ์ เป็นต้นไปคือผู้มีสิทธิเข้าโครงการนั้น เท่ากับจะทำให้รัฐบาลคสช.จะได้โอกาสในการเก็บข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากขึ้นโดยเฉพาะเด็กอายุ 18 ปี ใช่หรือไม่ การกำหนดเงื่อนไขเช่นนี้มีวาระซ่อนเร้นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองใดเข้ามาเกี่ยวข้องหรือเปล่า?
N.2020 เดี่ยวให้เก็บออม เดี่ยวให้อยู่อย่างประหยัด เดี่ยวให้เที่ยว ตกลงจะให้ไปทางไหน แจกเงินคนจนให้เที่ยว จนแล้วได้เงอน ได้เงินแล้วเที่ยวนี่นะ สมองควาย
26 เม.ย. 2562 เวลา 10.41 น.
Tam lotto นี่แหละสมองคสช
26 เม.ย. 2562 เวลา 10.50 น.
โก๋วัตถุมงคล จะเอาใจคนรุ่นใหม่หรือ เงินซื้อไม่ได้แน่
26 เม.ย. 2562 เวลา 10.49 น.
ไพศาลเฟอร์นิเจอร์ ความคิดและสมอง มีแค่นี้แล้วจริงๆหรือ?
26 เม.ย. 2562 เวลา 10.56 น.
; ชนชั้นกลางลำบากมีหน้าที่เสียภาษีต่อไป
26 เม.ย. 2562 เวลา 10.48 น.
ดูทั้งหมด