จากการที่ได้ทำงานในสายการเงินส่วนบุคคล ทั้งบรรยาย ตอบคำถาม และให้คำปรึกษาทางการเงิน ผมพบข้อเท็จจริงข้อหนึ่ง นั่นคือ การจัดการเงินในช่วง 10 ปีแรกของการทำงาน (ช่วงอายุ 20-30 ปี) มีผลต่ออนาคตทางการเงินของคนเราอย่างมาก
คนที่จัดการเงินได้ดีตั้งแต่เริ่มทำงาน ก็มักจะมีชีวิตการเงินที่ดีมีความสุข ไม่ค่อยทุกข์ร้อนเรื่องเงินให้วุ่นวายใจ หรือแม้จะมีบ้าง ก็อยู่ในวิสัยที่บริหารจัดการได้
ตรงกันข้ามกับคนที่จัดการเงินแย่ตั้งแต่เริ่มทำงาน คนกลุ่มหลังนี้กว่าจะตั้งหลักตั้งตัวได้ ก็เล่นเอาเหนื่อย เสียเวลาไปค่อนชีวิต และมีจำนวนไม่น้อยที่มีชีวิตการเงินลำบากไปจนถึงวันเกษียณ หากปล่อยปละละเลย ไม่เร่งแก้ไข
ด้วยเหตุนี้เวลาเจอน้อง ๆ ที่เรียนจบใหม่ และเพิ่งเริ่มต้นทำงาน ผมจึงมักแนะนำให้พวกเขาใส่ใจและให้ความสำคัญกับการเงินในช่วง 10 ปีแรกเป็นพิเศษ โดยบอกเล่าเป็นหลักการจัดการเงินอย่างง่าย 5 ข้อดังนี้
1. อย่าก่อหนี้บริโภค
ข้อนี้ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1 เลย เพราะกลุ่มของหนี้บริโภคนั้นไม่ว่าจะเป็น หนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคล เหล่านี้ล้วนแต่เป็นหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยสูงมาก สูงถึงระดับ 18-28% เลยทีเดียว (หนี้นอกระบบยิ่งไปกันใหญ่) เรียกว่า ถ้าเราเผลอไปเป็นหนี้เหล่านี้ รับรองว่าชีวิตเหนื่อยตั้งแต่อายุยังน้อยแน่นอน
ทั้งนี้ ผมไม่ได้ห้ามใช้บัตรเครดิตนะครับ สามารถมีหรือพกบัตรเครดิตไว้แทนการพกพาเงินสดได้ แต่ใช้เท่าไหร่ ก็จ่ายคืนไปเต็มจำนวน ไม่จ่ายขั้นต่ำหรือจ่ายคืนบางส่วน ถ้าไม่มั่นใจว่าชำระคืนเต็มจำนวนได้ ก็อดทนรอสักหน่อย เก็บเงินเพิ่มอีกสักนิด อย่าใช้บัตรตามใจตัวเองครับ
2. ออมขั้นต่ำ 10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้
สำหรับคนทั่วไป ผมจะแนะนำให้เริ่มออมที่อัตรา 10% ของรายได้ (หาได้ 100 เก็บ 10) แต่ถ้าใครไหว อยากประสบความสำเร็จทางการเงินเร็วขึ้น ผมแนะนำให้ออมที่ระดับ 20% ไปเลยครับ
สำหรับเป้าหมายการออม ก็ให้เริ่มจากการออมเพื่อเก็บเป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเป็นเป้าหมายแรก จากนั้นค่อยขยับไปสู่การเก็บออมเพื่อลงทุนสร้างความมั่งคั่งในลำดับถัดไป
ส่วนใครที่มีภาระทางการเงิน (เช่น ต้องส่งเงินให้ที่บ้าน หรือ มีภาระหนี้ กยศ.) การออมที่ระดับ 10-20% อาจเป็นภาระมากเกินไป ก็อาจปรับลดเหลือสัก 3-5% ก่อนก็ได้ แต่ไม่ออมเลยไม่ได้นะครับ เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะหมดกำลังใจไปเสียก่อน
คิดง่าย ๆ ว่า ทำงานทั้งเดือน แล้วต้องให้เงินกับทุกคนบนโลก (ธนาคาร เจ้าของบ้านเช่า ร้านอาหาร บริษัทสาธารณูปโภค ฯลฯ) ยังไงเหลือเก็บไว้ให้ตัวเองบ้าง สักนิดสักหน่อยก็ยังดี
3. เริ่มลงทุนให้เร็ว
ระหว่างที่เริ่มเก็บเงิน อยากให้เริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนควบคู่กันไปด้วย ตอนที่เงินยังไม่เยอะมากนี่แหละ คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด พอศึกษาได้สักหน่อย ก็ให้เริ่มต้นลงทุนเท่าที่เรารู้และเข้าใจ เมื่อมั่นใจก็ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนเงินลงทุน
ผมเองตอนเริ่มต้นลงทุนหุ้น จำได้ว่าตอนนั้นเปิดบัญชีด้วยเงินเก็บ 5,000 บาท เลือกลงทุนธุรกิจที่เรารู้จัก หุ้นราคาไม่แพงมาก เพื่อลองวิชา เก็บเงินไป ศึกษาไป ลงทุนไป นานวันเข้าก็เก่งก็แม่นการลงทุนมากขึ้น ก็ค่อยปรับเพิ่มการลงทุน
ส่วนใหญ่ที่ผมเห็น น้องที่เริ่มลงทุนตั้งแต่เรียนจบใหม่ สุดท้ายผ่านไป 10 ปี มีพอร์ตหลักหลายแสน (บางคนถึงหลักล้าน) กันหลายคนเลย ซึ่งเงินสะสมก้อนนี้จะช่วยให้เรามีความมั่นใจทางการเงินในช่วงอายุต่อไปได้อย่างสบาย
4. วางแผนรับมือความเสี่ยงไว้ตลอดเวลา
ชีวิตเป็นเรื่องไม่แน่นอน ในบางครั้งก็มีโชคร้าย เจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ ตกงาน ฯลฯ แวะเวียนเข้ามา และกระทบกับการเงินของเราได้อยู่เสมอ
ดังนั้นในทุกช่วงชีวิต เราจึงควรประเมินความเสี่ยงทางการเงินเหล่านี้ และหาทางป้องกันเอาไว้ ซึ่งเครื่องมือที่เหมาะสม อาทิ เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ขนาดสัก 6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน รวมไปถึงพวกประกันต่าง ๆ จะช่วยลดผลกระทบทางการเงินให้กับเราได้ ในวันที่โชคร้ายมาเยือน ทำให้ไม่ต้องหยิบยืมและสร้างภาระการเงินให้กับชีวิต
5. เน้นทำงานสร้างคุณค่า และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
สิบปีแรกของการทำงาน อย่าโฟกัสที่เงินเดือนหรือรายได้เพียงอย่างเดียว ให้มองเรื่องของโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ด้วย งานที่ดีต้องทั้งเลี้ยงชีวิต (มีกิน มีใช้ มีเหลือเก็บ) และช่วยสร้างโอกาสให้ชีวิตได้ด้วย (ให้ความรู้และประสบการณ์ที่ต่อยอดได้ในอนาคต)
ในอีกมุมหนึ่ง ก็เป็นการค้นหาตัวเองไปด้วยในตัว ไม่ว่าจะเป็นงานที่สร้างรายได้หรืองานอดิเรก การที่เราจัดสรรเวลาเรียนรู้ให้กับหลายเรื่อง ที่เรารู้สึกสนุก สนใจ อยากทำ ซนและผจญภัยกับมันให้มากพอ สิ่งเหล่านี้จะค่อย ๆ ขัดเกลาวิธีคิด มุมมอง ทักษะ และประสบการณ์ของเราให้แหลมคมมากขึ้น ค้นพบตัวตนและงานที่เหมาะกับตัวเองได้ในที่สุด
ทั้งหมดนี้ คือ หลักคิดทางการเงินสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ผมอยากฝากให้กับน้อง ๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานทุกคน จำไว้นะครับว่า ถ้าการเงินในช่วง 10 ปีแรกเป็นไปด้วยดี การสร้างชีวิตและครอบครัวในช่วงอายุที่สูงขึ้นไป ก็จะเป็นเรื่องไม่ยาก แม้ภาระการเงินอาจจะหนักขึ้นบ้าง ทั้งจากการซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ ค่าใช้จ่ายลูก ฯลฯ แต่ก็จะอยู่ในวิสัยที่บริหารจัดการได้
และด้วยภูมิคุ้มกันทางการเงินที่ดี ที่สั่งสมมานานนับ 10 ปี ก็จะเป็นรากฐานที่ดี ที่ช่วยให้เรามีชีวิตที่สมดุล ร่มเย็น และมีความสุขได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนครับ
ตรงข้อที่ลงทุนนี่แหละ เจ๊งและจน กันมานักต่อนักแล้ว คิดีๆ
14 พ.ย. 2562 เวลา 11.53 น.
ทุกอย่างจะดีขึ้นมาได้ก็ด้วยเพราะสภาวะของเศรษฐกิจ.
14 พ.ย. 2562 เวลา 14.14 น.
อิสระ ธนะบรรณ์ ขอบคุณนะครับสำหรับข้อมูล แต่ภ้าคนเราอยู่ในสังคมมีเพื่อนฝูงแล้วนะครับทุกคนมี จรรยาบรรณการคบเพื่อนสักนิดคงโอดครอย่าเอาเอาเปรียบซึ่งกันและกันในสังคมทั้งเพื่อนเราหรือเพื่อนร่วมอย่าเอาเปรียยซึ่งกันและกันและให้ความเคารพในสิทธิส่วนตัวของคนอื่นอย่าก้าวล่วงให้มันเยอะเกินไป ก็จบนะครับ
14 พ.ย. 2562 เวลา 12.10 น.
CORID-19 ไอดอลผมเอง
14 พ.ย. 2562 เวลา 11.48 น.
Nop Sok การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจทุกครั้ง เค้าให้หาความรู้ก่อนลงทุนไม่ใช่ซื้อตามๆ กันไป เจ๊งเพราะโลภมากก็เยอะ 5 อย่างที่เค้าแนะนำควรทำก่อนที่จะเริ่มได้งานอีก
15 พ.ย. 2562 เวลา 05.10 น.
ดูทั้งหมด