CPTPP : ระหว่างโอกาสทางธุรกิจ กับชีวิตเกษตรกรและการเข้าถึงยารักษาโรค - BBCไทย
ข้อเสนอแนะเพียงไม่กี่ประโยคของประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ที่สนับสนุนให้ไทยเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกหรือ CPTPP (Comprehensive and Progressive Trans-pacific Partnership) ทำให้แฮชแท็ก #คัดค้านCPTPP #NoCPTPP และ #ไม่เอาCPTPP กลับมาเต็มโซเชียลมีเดียอีกครั้ง
การคัดค้าน CPTPP ถึง "จุดพีค" ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อมีรายงานว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เตรียมหารือเรื่องการเข้าเป็นสมาชิกของความตกลงนี้ในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ซึ่งภาคประชาชน นำโดยกลุ่มเอฟทีเอว็อทช์ ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างหนัก จนในที่สุดนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถอนวาระออกจากการประชุม เขาให้เหตุผลภายหลังว่าเป็นเพราะ อยากให้สังคมได้มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันเสียก่อนหรืออย่างน้อยก็ต้องมีการฟังความเห็นครบถ้วน
ต่อมามีกระแสข่าวว่า ครม.จะหารือเรื่องนี้อีกครั้งในวันที่ 19 พ.ค. คราวนี้ภาคประชาชนซึ่งรวมตัวกันเป็น "เครือข่ายต่อต้าน CPTPP" ออกมาคัดค้านเช่นเคย แต่สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่ในวาระการประชุมของ ครม. ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่มีรายงานว่าเป็นผู้ผลักดันให้ไทยเข้าร่วมความตกลงนี้ "ลาป่วย"
- CPTPP : ความตกลงทางการค้าใหม่ คนไทยจะได้หรือเสียประโยชน์จากเมล็ดพันธุ์-การเข้าถึงยา
- ทรัมป์เซ็นคำสั่งให้สหรัฐฯ ออกจาก "ทีพีพี" แล้ว
- โควิด-19 : วิกฤตโรคระบาดทำรัฐบาลอาร์เจนตินาผิดนัดชำระหนี้อีกรอบ ประชาชนตกงาน เข้าคิวรับบริจาคอาหาร
สัปดาห์ต่อมา ความเคลื่อนไหวเรื่อง CPTPP ย้ายจากทำเนียบรัฐบาล ไปอยู่ที่รัฐสภา เมื่อนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.พรรคภูมิใจไทยแถลงข่าวการยื่นญัตติด่วนเพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบ CPTPP ซึ่ง ส.ส.พรรคภูมิใจไทยเห็นว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศไทยในด้านต่าง ๆ เช่น เวชภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ สาธารณสุข อุตสาหกรรม การเกษตร และการจดสิทธิบัตร
การกลับมาอีกครั้งของ #คัดค้านCPTPP #NoCPTPP #ไม่เอาCPTPP
การไม่นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม.และการรอกระบวนการในรัฐสภาทำให้ประเด็น CPTPP "เงียบ" ลงไปพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้งหลังการแถลงข่าวของ สรท. เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ในหัวข้อคาดการณ์สถานการณ์ส่งออกปี 2563 ซึ่ง น.ส.กัญญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธาน สรท.คาดว่าจะติดลบถึง 8 เปอร์เซ็นต์จากการระบาดของโควิด-19 ความขัดแย้งระหว่างจีน-สหรัฐฯ และค่าเงินบาทแข็งค่า
แต่สิ่งที่ทำให้การแถลงข่าวของ สรท. "กลายเป็นประเด็น" ขึ้นมาก็คือข้อเสนอแนะต่อภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ข้อ หนึ่งในนั้นคือ "สนับสนุนให้ประเทศไทยเข้าร่วมเจรจา CPTPP เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยสงวนสิทธิ์ให้สามารถถอนตัว หากทราบรายละเอียดเงื่อนไขหรือไม่สามารถเจรจาให้เกิดประโยชน์ในภาพรวมของประเทศ รวมถึง เร่งผลักดันการเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อื่นๆ อาทิ RCEP Thai-EU"
ส่วนอีก 4 ข้อเสนอ คือ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้แข็งค่ากว่า 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ, เร่งใช้งบประมาณภาครัฐเพื่อลงทุนสร้างความยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจ, พิจารณาการค้าในรูปแบบ Trade to Localization มุ่งเน้นไปที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนและกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม), ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเพื่อกระตุ้นปริมาณการส่งออก และให้ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) พิจารณาปลดล็อกมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจกลับมาดำเนินกิจการได้คล่องตัวมากขึ้น
ประธาน สรท. ยอมรับในการแถลงข่าวว่าข้อเสนอเรื่อง CPTPP "เป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ๆ" ซึ่งทำให้ สรท. ไม่อยากจะกล่าวเฉพาะเจาะจงถึงข้อตกลงนี้
"เรามองในเรื่องของการเปิดตลาด ทั้งเขตการค้าเสรี (FTA) แบบทวิภาคีหรือพหุภาคี เราไม่ได้เน้นเฉพาะ CPTPP อย่างเดียว และเรายังรอดูท่าทีของสหรัฐฯ ว่าเขาจะเอายังไงกับเรื่องนี้ต่อ" น.ส.กัญญภัคกล่าว
ทำไมต้อง CPTPP
วันนี้ (5 มิ.ย.) น.ส.กัญญภัคให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยถึงเหตุผลที่ สรท.ออกมาสนับสนุนให้ไทยเข้าร่วมเจรจา CPTPP โดยไม่หวั่นไหวต่อเสียงคัคด้านของภาคประชาสังคมที่กังวลเรื่องผลกระทบโดยเฉพาะสิทธิในการเก็บเมล็ดพันธุ์ของเกษตรกรและเรื่องสิทธิบัตรยา สรุปประเด็นได้ดังนี้
- ไม่ได้สนับสนุนแค่ CPTPP
สรท.ไม่ได้สนับสนุนการเข้าร่วมเจรจาการค้าเฉพาะ CPTPP แต่มองเห็นโอกาสที่จะเปิดตลาดส่งออกจากการเข้าร่วมเจรจากรอบการค้าเสรีทุกกรอบ ไม่ว่าจะเป็นทวิภาคีหรือพหุภาคี ทั้ง FTA กับรายประเทศและกลุ่มประเทศ เช่น FTA กับอียู และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่
น.ส.กัญญภัคมองว่า การที่ไทยถูกตัดสิทธิพิเศษทั่วไปทางภาษี (จีเอสพี) ทั้งจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ทำให้ไทยต้องจ่ายอัตราภาษีเต็ม อีกทั้งยังไม่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเพราะค่าแรงที่แพง และความสามารถที่จำกัดของแรงงานไทยในด้านดิจิทัล ทำให้เสียเปรียบคู่แข่ง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยข้อตกลงทางการค้าในระดับทวิภาคีและพหุภาคีมาช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้ระบบเศรษฐกิจและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
"ตอนนี้เวียดนามกำลังจะแซงหน้าเราแล้ว การเติบโตด้านการส่งออกและเศรษฐกิจของเขาก็โตขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศที่เข้าเวียดนามก็มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นเพราะเวียดนามได้รับจีเอสพีแล้ว ยังเป็นเพราะเวียดนามทำสัญญาเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่าง ๆ มากถึง 53 ประเทศ ขณะที่ไทยทำสัญญา FTA กับ 19 ประเทศ"
- เข้าได้ก็ต้องออกได้
ประเด็นสำคัญในข้อเสนอของ สรท. ที่ให้เข้าร่วมเจรจา CPTPP คือทีมเจรจาคือกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะต้องสงวนสิทธิให้ถอนตัวจากการเจรจาได้หากพบว่ารายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ไม่เป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของประเทศ
"เราไม่ได้บอกว่าเข้าไปแล้วต้องผูกมัดตัวเอง และไม่ใช่ว่าเมื่อไปเจรจาแล้วเราต้องยอมเขาทุกอย่าง ถ้าเรารับเงื่อนไขไม่ได้ ไม่พร้อม เราก็ถอยออกมาเตรียมตัวก่อนได้ เมื่อพร้อมเราอาจจะกลับไปคุยใหม่ หรือไปคุยแบบทวิภาคีก็ได้"
"การเจรจาไม่ว่าจะในกรอบไหนเราก็ไม่อยากเสียเปรียบ ถ้ามีโอกาสที่จะเข้าไปร่วมนั่งคุย ดูเงื่อนไขและเจรจาเพื่อเป็นประโยชน์กับภาคธุรกิจของไทยก็ควรจะทำ ไม่ใช่พอมีข้อกังวลแล้วก็ไม่เข้าไปเลย เราควรเข้าไปคุยก่อน ถ้าไม่ได้ในสิ่งเที่เราต้องการ เราก็ยังถอนตัวออกมาได้ เรามองในเชิงธุรกิจการค้า ถ้าตรงไหนที่เป็นโอกาส เราก็อยากให้เข้าไปศึกษาก่อน อย่าเพิ่งปิดโอกาส"
- ภาครัฐต้องดูแลเรื่องผลกระทบจากข้อตกลงทางการค้า
ประธาน สรท.บอกว่าภาคเอกชนรับรู้ถึงข้อกังวลของภาคประชาสังคม ทั้งเรื่องสิทธิของเกษตรกร ด้านสาธารณสุขและด้านสิทธิแรงงาน ซึ่งไม่ว่าจะเข้าร่วมเจรจา CPTPP หรือไม่ก็ตาม ประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และภาครัฐควรจะต้องหามาตรการปกป้องสิทธิประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
"ไม่ว่าจะเจรจาในกรอบไหน ภาครัฐควรมีกฎหมายปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน"
- สหรัฐฯ อาจกลับเข้ามา
ขณะนี้สหรัฐฯ ไม่ได้เข้าร่วม CPTPP แต่หากในอนาคตกลับเข้ามา ประเทศที่เป็นภาคีอยู่ก่อนก็อาจจะได้เปรียบเพราะมีส่วนในการเจรจาเงื่อนไขต่าง ๆ ไว้
- ถ้าไม่เข้า CPTPP ก็ต้องเจรจาทวิภาคี
ถ้าหากสุดท้ายแล้ว รัฐบาลตัดสินใจไม่เข้าร่วมเจรจา CPTPP สรท.ก็ยังเห็นความจำเป็นที่จะต้องเปิดตลาดต่อไปด้วยการเจรจาการค้าในระดับทวิภาคี
"(เจรจา) กับสหรัฐฯ เราก็ได้เริ่มไปแล้ว ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์เองก็เคยพูดว่าสนใจที่จะเจรจาการค้าในระดับทวิภาคีมากกว่าการเจรจาการค้าแบบพหุภาคี แม้แต่อังกฤษเมื่อออกจากอียูก็มาเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐฯ" ประธาน สรท. ให้ข้อเสนอทิ้งท้าย
- โควิด-19 : เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทฉลุย สภามีมติอนุมัติ พ.ร.ก.การเงิน 3 ฉบับ
- โควิด-19 : ธ.โลกห่วงบริการสาธารณสุขด้านส่งเสริม-ป้องกัน หากโควิด-19 อยู่ยาว
CPTPP เข้าสภาฯ สัปดาห์หน้า
บีบีซีไทยสอบถามนายศุภชัย ใจสมุทร ถึงความคืบหน้าเรื่องการเสนอเรื่องการตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาผลกระทบ CPTPP ได้รับคำตอบว่าคาดว่าจะมีการบรรจุเป็นวาระสัปดาห์หน้า ซึ่งล่าสุดวันนี้ (5 มิ.ย.) นายนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลได้ออกมายืนยันแล้วว่าในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 10-11 มิ.ย.นี้ จะมีการพิจารณาเรื่อง CPTPP CPTPP เข้าสภาฯ สัปดาห์หน้า
รู้จัก CPTPP และข้อกังวลของภาคประชาสังคม
CPTPP มีชื่อเต็มว่า Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership คือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ปัจจุบันมีสมาชิก 11 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม มีเพียง 7 ประเทศที่ให้สัตยาบันเข้าร่วม ได้แก่ เม็กซิโก ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ แคนาดา ออสเตรเลีย และเวียดนาม
CPTPP เป็นการปรับโฉมมาจาก TPP (Trans-Pacific Partnership) ข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ซึ่งเคยมีสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมด้วย แต่ภายหลังได้ถอนตัวออกไปเมื่อปี 2560 แต่ประเทศสมาชิกที่เหลือยังเดินหน้าความตกลงต่อภายใต้ชื่อของ CPTPP
ข้อตกลงนี้ครอบคลุมการค้า การบริการ และการลงทุนเพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก รวมถึงการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม กลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติ
สำหรับข้อกังวลบางประการของกลุ่มผู้คัดค้านข้อตกลงนี้ ได้แก่
- การเข้าร่วมความตกลงนี้จะส่งผลให้ไทยต้องแก้กฎหมายบางฉบับที่อาจเกิดผลกระทบต่อภาคเกษตรและระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะประเด็นเรื่องสิทธิในเมล็ดพันธุ์พืช การคุ้มครองสิทธิบัตรยา รวมถึงการคุ้มครองการลงทุนให้ชาวต่างชาติ
- ไทยต้องเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญา UPOV1991 ว่าด้วยพันธุ์พืชทันทีหากเข้าร่วม CPTPP ซึ่งอนุสัญญานี้ให้ความคุ้มครองบริษัทอุตสาหกรรมเกษตรในการผูกขาด เมล็ดพันธุ์ยาวนานถึง 15-20 ปี ทำให้เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกรอบเพาะปลูก
- เนื้อหาในความตกลง CPTPP หลายส่วนที่ส่งผลต่อการเข้าถึงยา การพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศ และส่งผลต่อเรื่องสุขภาพและระบบสาธารณสุข เช่น การผูกโยงการขึ้นทะเบียนตำรับยากับระบบสิทธิบัตร (Patent linkage) ข้อผูกมัดในบทว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐและทรัพย์สินทางปัญญา
- ความตกลง CPTPP ยืนยันสิทธิของประเทศสมาชิกในการใช้มาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตร หรือ (Compulsory Licensing หรือ CL) เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงยาของประชาชนในทุกกรณี ตามที่ความตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) กำหนดให้ทำได้
- เอาง่ายๆข้าวของจะแพงขึ้นหลายเท่า
05 มิ.ย. 2563 เวลา 20.32 น.
orasa อ่านจนจบ ไม่เห็นเกษตรกรจะได้ผลประโยชน์อะไรเลย มีแต่นายทุนเท่านั้นที่จะได้ พอสรุปได้ว่า สนธิสัญญาฉบับนี้ต้องการช่วยคนรวย และต้องการที่เหยียบให้เกษตกรจมดินไปเลยใช่ไหม
06 มิ.ย. 2563 เวลา 02.53 น.
FARM MAN โคก หนอง นา จงเจริญ
07 มิ.ย. 2563 เวลา 02.46 น.
Jirawat,PIBO12 ไทยสามารถตกลงให้เกษตรกรเก็นเมล็ดพันธุ์ได้ อีกอย่างไม่มีใครบังคับให้คุณซื้อเมล็ดพันธุ์ต่างชาติ ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อไม่มีใครจับมือบังคับได้
07 มิ.ย. 2563 เวลา 01.33 น.
ดูทั้งหมด