ไลฟ์สไตล์

เด็กอยากเป็นนักเขียน และไม่อยากเรียนหนังสือ - วินทร์ เลียววาริณ

THINK TODAY
เผยแพร่ 27 ต.ค. 2562 เวลา 17.05 น. • วินทร์ เลียววาริณ

ผู้ปกครองคนหนึ่งถามผมว่า จะตอบลูกวัยรุ่นอย่างไรดี ลูกบอกพ่อแม่ว่าไม่อยากเรียนหนังสือ เพราะเรียนไปแล้วก็ไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง

ลูกของเขาชอบเขียนนิยายมาก และเห็นว่าจะประกอบอาชีพเขียนหนังสือไม่ต้องเรียนก็ได้

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

สมัยผมอายุเท่านี้ ก็ชอบเขียนนิยายเหมือนกัน แต่ไม่กล้าบอกพ่อว่าไม่เรียน เพราะพ่อผมปกครองด้วยไม้เรียว !

คำถามคือจริงไหมที่เราไม่ต้องเรียนหนังสือ เพราะเรียนไปแล้วก็ไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง ?

ประโยคนี้ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ในโลกนี้สามารถสรุปได้สองแบบ

1 สรุปจากสิ่งที่เห็น

2 สรุปจากสิ่งที่ไม่เห็น

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

การสรุปที่ดีควรมาจากทั้งสองอย่าง

ถ้าเรามองโลกแบบผ่าน ๆ จะเห็นว่าชาวโลกใช้เวลาหลายปีในห้องเรียน เรียนวิชาเลขคณิต เรขาคณิต ตรีโกณมิติ ชีววิทยา เคมี ฯลฯ แล้วไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง คนส่วนใหญ่ไม่เคยต้องใช้วิชาเหล่านี้สักครั้งเดียวในชีวิต

แต่หากมองโลกแบบที่สองอาจเห็นอีกด้านหนึ่ง นั่นคือทุกระบบในโลกมีวิชาเหล่านี้ซ่อนอยู่ วิชาทั้งหลายเป็นฐานของระบบรวม ตั้งแต่การทำงานของรถยนต์ไปจนถึงโทรศัพท์มือถือ การนัดเพื่อน การเรียกแท็กซี่ด้วยแอปฯ การใช้แผนที่ดิจิทัลแบบเรียลไทม์ ฯลฯ การเรียนวิชาต่าง ๆ ยังช่วยพัฒนาสมองส่วนต่าง ๆ ของเด็ก ทั้งด้านตรรกะและนามธรรม

ย่อมมีคนถามว่า งั้นทำไมสังคมจึงมีหลากหลายอาชีพ ก็เพื่อที่เราไม่ต้องรู้ทุกวิชา และแบ่งกันทำมิใช่หรือ ? เป็นหน้าที่ของนักฟิสิกส์ที่จะคำนวณทิศทางของดาวเทียมเพื่อให้เราใช้ระบบจีพีเอสได้ นักเขียนโปรแกรมที่ทำแอปฯ ด้วยภาษาตัวเลข ฯลฯ เราจึงไม่ต้องรู้ไปหมดทุกเรื่องมิใช่หรือ ?

นี่เป็นตรรกะผิดเพี้ยน เพราะมันเป็นคนละเรื่องกัน

มีสักกี่คนในโลกที่รู้ตั้งแต่ตอนเรียนชั้นประถม มัธยมว่าจะประกอบอาชีพอะไร โดยที่ในชีวิตนี้จะไม่เปลี่ยนอาชีพอีกแล้ว ?

ไม่มีใครรู้ว่าจะทำอะไรจนกว่าจะเรียนมากพอ เข้าใจแล้วจึงเลือกว่าจะเรียนสาขาใดเป็นพิเศษ

แต่นักเขียนก็น่าเป็นข้อยกเว้น เพราะนักเขียนแค่จินตนาการ ใช่ไหม ? เราเขียนนิยายเรื่องความรักของคนสองคนสามคน ด้วยพล็อตเรื่องสนุก ๆ เห็นชัดว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้วิชาเลขคณิต เรขาคณิต ตรีโกณมิติ และอื่น ๆ จริงไหม ?

ในฐานะที่ผมทำงานเขียนนิยายมาตั้งแต่วัยรุ่น จนวันนี้ก็เกินสี่สิบปีแล้ว ผมตอบได้คำเดียวว่าไม่จริง

ใครก็ตามที่คิดจะเป็นนักเขียน ไม่เพียงต้องเรียนทุกวิชา ยังต้องเรียนมากกว่าคนอื่นด้วย

ทำไม ?

ก็เพราะว่านักเขียนคนหนึ่งจะเขียนนิยายในเรื่องเดิม ๆ ไปได้สักกี่น้ำ ก่อนที่คนอ่านจะเบื่อและก่อนที่จะความคิดจะตัน หากไม่เติมข้อมูลใหม่ ๆ ไม่มีมุมมองที่กว้างกว่าคนอ่าน เขาจะอ่านงานของเราทำไม

เราอาจบอกว่าเราแค่เขียนนิยาย เขียนแฟนตาซี จะรู้เรื่องศาสตร์ต่าง ๆ ไปทำไม

ความจริงคือ ต่อให้เขียนเรื่องแฟนตาซีที่เกิดขึ้นในจักรวาลอื่น ก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องราวของมนุษย์อยู่ดี ข้อมูลจึงตันได้เสมอ หากสมองมีความรู้แค่นิดเดียว เราจะใช้ข้อมูลนิดเดียวนี้ไปเขียนนิยายได้สักกี่เรื่องก่อนที่คนอ่านจะเลิกอ่าน

    

……………………………………………………………………………………………………………

ทุกศาสตร์ทุกวิชาที่เราเรียนตอนอยู่ในโรงเรียน และเรียนเพิ่มเติมหลังออกจากห้องเรียนจะเป็นรากฐาน รอต่อยอดเป็นไอเดียและความคิดใหม่ซึ่งเราสามารถขุดไปใช้เขียนนิยายใหม่ ๆ ที่สดกว่าเดิม แตกต่างจากเดิม และคนอ่านคาดไม่ถึง

นี่ต่างหากที่เป็นจุดขายของนักเขียน ไม่ใช่งานเบสต์เซลเลอร์สักเล่มสองเล่ม หรือยอดกดไลก์

นี่เองที่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงบอกเสมอว่า นักเขียนต้องรู้เรื่องประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ชีววิทยา เคมี ศาสนา ปรัชญา การเมือง ดาราศาสตร์ ไปจนถึงจักรวาลวิทยา

นี่เองที่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงบอกเสมอว่า นักเขียนต้องดูหนัง เสพศิลปะ อ่านกวีนิพนธ์ ฟังเพลง ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่างานศิลปะทั้งหลายนี้ทำไมเป็นอย่างนี้ มันดีไม่ดีเพราะอะไร

แม้สิ่งเหล่านี้โดยตัวมันเองอาจเป็นเพียงข้อมูลดิบ ใช้ในงานเขียนไม่ได้โดยตรงเสมอไป แต่เมื่อมารวมกันในหัวเรา มันจะทำให้นักเขียนมีโลกทัศน์ที่กว้างขวางขึ้น และที่สำคัญ มันจะสร้างคลังข้อมูลให้นักเขียนใช้อย่างไม่สิ้นสุด

หากมองไม่เห็นภาพ ก็จะยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมุติว่านักเขียนวางพล็อตให้พระเอกกับนางเอกไปเดินเล่นแถวประเทศใกล้ขั้วโลกเหนือ แลเห็นแถบแสงสว่างบนฟ้าตอนกลางคืน นักเขียนก็อาจบรรยายว่า “เขาพาเธอไปเดินกลางคืน ใต้แสงสว่างบนฟ้าน่าโรแมนติก” ก็จบ

ถ้าไม่เรียนวิชาภูมิศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ก็เล่าเรื่องได้แค่นี้ แต่ถ้าเรียนมา ก็จะรู้ว่าแสงเหนือเกิดจากสนามแม่เหล็กโลกกับลมสุริยะในพื้นที่ใกล้ขั้วโลกเหนือ หากเขาเกิดพลัดหลงกับเธอ ก็อาจไม่สามารถติดต่อกันด้วยอุปกรณ์สื่อสารเพราะแสงเหนือรบกวน ด้วยเหตุนี้คนร้ายจึงอาจจับเธอไปเรียกค่าไถ่จากจุดนี้ โดยที่พระเอกตามหาเธอด้วยเครื่องมือสื่อสารไม่ได้ นี่เพิ่มทางเลือกให้พล็อตเรื่องขึ้นมาทันที และอาจน่าสนใจกว่าเดิม

ถ้าเรียนวิชาประวัติศาสตร์ก็สามารถขยายความว่า ณ จุดที่เขากับเธอยืนอยู่ เมื่อ 2,400 ปีก่อนนักสำรวจกรีกชื่อ Pytheas ก็เคยมองขึ้นฟ้าเช่นกัน ก็อาจแต่งเรื่องให้ทั้งสองพบชิ้นส่วนที่นักสำรวจกรีกทิ้งไว้ แล้วแตกเรื่องออกไปอย่างสนุกสนานและแปลก

นักเขียนยังอาจแตกหน่อมันเป็นเรื่องไซไฟหรือแฟนตาซีว่า มันเป็นจุดที่ชาวต่างดาวมาเชื่อมกับโลกเรา ฯลฯ

แค่รู้เพิ่ม พล็อตเรื่องก็เปลี่ยนเป็นน่าสนใจขึ้น ด้วยเรื่องและเกร็ดที่ผู้อ่านไม่รู้มาก่อน

นี่เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ ให้เห็นว่า สิ่งที่เราคิดว่า “ไม่รู้จะรู้ไปทำไม” อาจมีประโยชน์มหาศาลต่องานเขียน

นี่แปลว่าใครก็ตามที่คิดจะเป็นนักเขียนที่ดี ต้องเติมความรู้ใหม่ ๆ เข้าไปต่อเนื่อง

ใครก็ตามที่คิดว่า “รู้แค่นี้พอแล้ว” หรือ “เรียนไปทำไม” เท่ากับกักขังตัวเองในกล่องปิดทึบทุกด้าน

ใช้ข้อมูลที่มีอยู่หมดเมื่อไร ชีวิตนักเขียนก็จบเมื่อนั้น

การเป็นนักเขียนนั้นง่าย แต่เป็นนักเขียนที่ดี นักเขียนที่คนจดจำได้ ต้องการมากกว่าแค่เขียน

ต้องเป็นนักคิด นักค้นคว้าด้วย

หากเราไม่เรียนอะไรเลย เพราะคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ ต่อให้เรายังสามารถเค้นงานออกมาได้ มันก็เป็นได้เพียงงานรีไซเคิล ‘เซมเซม’ จาก ‘แบตเตอรีสมอง’ ที่เก่าและเสื่อมลงไปทุกวัน ไม่นานเกินรอ นักเขียนก็ตาย

การเขียนหนังสือเป็นการใช้ชีวิตที่ต้องรักษาสมดุลของร่างกาย จิตใจ ความรู้ ความเข้าใจ โลกทัศน์ จะหมกตัวเขียนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเปิดตัวรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาตลอดเวลา

ดังนั้นอยากเป็นนักเขียน ไม่เพียงต้องเรียนหนังสือ ยังต้องเรียนมากกว่าคนอื่นด้วย

……………………….………….………….………….………….………….………….………….………….

วินทร์ เลียววาริณ

winbookclub.com

เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/

ความเห็น 22
  • Ta Yaisamoe 🐯
    หนังสือเล่มแรกที่ทำให้ผมเห็นคุณค่าของการอ่านหนังสือคือ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ความรู้สึกแรกที่ได้จากการอ่านคือ เฮ้ย!! คนเขียนเป็นเทวดาหรือเปล่าวะเนี่ย ทำไมข้อมูลความรอบรู้เยอะจัง เกิดความประทับใจอย่างที่สุด และหลังจากอ่านเล่นนั้น สิ่งที่ผมค้นพบคือคำที่คุ้นหูมาตั้งแต่เด็กที่ว่า”ความรู้คู่การอ่าน“มันมีหมายความว่ายังงี้นี่เอง หลางจากนั้น ผมเลยกลายเป็นคนชอบอ่านหนังสือ อ่านมากพอที่ทำให้ บุคลิกภาพส่วนตัว เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว(หมายถึงดีขึ้นนะ) และทุกวันนี้ก็ยังตามอ่านงานของพี่วินอยู่ครับ
    28 ต.ค. 2562 เวลา 02.41 น.
  • Zeed Beer 77
    ดังเช่น ที่ ดร สุรินทร์ พิศสุวรรณ ท่านก็เคยกล่าว ว่าการเรียนคือใบเบิกทางชีวิต ขอบพระคุณ คุณวินทร์ที่นำเสนอแง่คิดดีๆ แบบนี้ ขอให้คุณวินทร์ นำเสนอสิ่งดีๆแบบนี้ให้ประชาขนได้อ่านอีกครับ
    28 ต.ค. 2562 เวลา 05.45 น.
  • Siriwan lek
    การเรียนในมหาวิทยาลัยมีประโยชน์ในอนาคตแน่นอนเพราะเป็นเครื่องการันตีว่าเราได้ผ่านบททดสอบทั้งทางวิชาการและการเข้าสังคมมาแล้ว อย่าพลาดประสบการณ์สำคัญนี้ในชีวิต
    28 ต.ค. 2562 เวลา 11.17 น.
  • Dinky Dinke
    การเรียนหนังสือเป็นมากกว่าการศึกษาองค์ความรู้ แต่เป็นการศึกษาวิธีการได้มาซึ่งองค์ความรู้ จะอ่านหนังสือซึ่งบรรจุข้อมูลมาก ๆ และใช้ถ้อยคำซับซ้อน ต้องอ่านอย่างไร ให้เกิดความเข้าใจ และถ่ายทอดออกมาเป็นคำตอบในข้อสอบได้ ตัวเนื้อหาที่เราไม่ได้ใช้ประกอบอาชีพ ก็ไม่ต้องใช้ แต่วิธีการอ่าน วิธีการสรุป สามารถนำไปต่อยอดในการทำงานได้ คนที่เข้าใจอะไรง่าย ๆ และถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจได้ง่าย ๆ ย่อมเป็นต่อในวิถีการทำงาน
    28 ต.ค. 2562 เวลา 11.23 น.
  • พื้นฐานในความสำเร็จของชีวิต ล้วนแล้วก็ย่อมที่จะต้องเริ่มต้นจากการศึกษาเสมอ.
    28 ต.ค. 2562 เวลา 10.55 น.
ดูทั้งหมด