เมื่อพูดถึงคำว่า “ประวัติศาสตร์” เรา ๆ ก็คงจะนึกถึงเรื่องราวเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เรื่องราวสำคัญที่ส่งผลต่อมายังชีวิต สังคม ประเทศ หรือกระทั่งโลกทั้งใบ มนุษย์มีชุดประวัติศาสตร์มากมายเต็มไปหมดทั้งเรื่องที่ดีและแสนเลวร้าย แต่อาจจะเพราะว่าทั้งหมดนั้นคือเรื่องจริง เราจึงเข้าใจและยอมรับมันได้ กระนั้น คำว่าประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้ตายตัวกับความจริงเสมอไป สำหรับงานเขียน มันได้เกิดเรื่องราวของ “ประวัติศาสตร์ทางเลือก” (Alternate History) ขึ้นมา อันว่าด้วยการหยิบจับเอาประวัติศาสตร์และเหตุการณ์จริงมาร้อยเรียง ตีความ และนำเสนอในทิศทางอื่นที่ต่างออกไป เรื่องราวใหม่ที่เติบโตขึ้นจากรากฐานความจริงเดิมทำให้ประวัติศาสตร์กลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เช่นเดียวกับซีรีส์ “The Man in the High Castle” ที่เชื้อเชิญให้ผู้ชมเดินทางข้ามมิติไปสำรวจประวัติศาสตร์ของอีกโลกหนึ่ง: โลกที่ฝ่ายอักษะชนะสงครามโลกครั้งที่สอง และสหรัฐอเมริกาถูกยึดครองโดยนาซีและญี่ปุ่น
The Man in the High Castle เป็นซีรีส์ ดราม่า-ไซไฟ-ทริลเลอร์ ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือในชื่อเดียวกันของ ฟิลิป เค. ดิก (เจ้าของงานเขียนที่ถูกนำมาสร้างภาพยนตร์อย่าง Blade Runner, Total Recall, Minority Report) บอกเล่าเรื่องราวใน ค.ศ. 1962 - 15 ปีให้หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่แทนที่จะเป็นประวัติศาสตร์ตามความเข้าใจ โลกใบนี้ฝ่ายสัมพันธมิตรกลับพ่ายแพ้สงครามให้กับอักษะ ส่งผลให้อเมริกาถูกนาซีและญี่ปุ่นยึดครองโดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ซีรีส์โฟกัสไปยังชีวิตของคนจำนวนหนึ่งจากทั้งดินแดนของนาซี (ฝั่งตะวันออก) และดินแดนญี่ปุ่น (ฝั่งตะวันตก) โดยมีม้วนฟิล์มปริศนาเป็นกุญแจสำคัญ กับบุคคลลึกลับนาม “ชายบนปราสาทสูง” ผู้อยู่เบื้องหลังการต่อสู้กับอำนาจมืดทั้งหมด
อาจจะฟังดูไม่มีอะไรแต่ในทุก ๆ ซีซั่น The Man in the High Castle เต็มไปด้วยเส้นเรื่องและรายละเอียดที่ถูกต่อยอดพัฒนาอยู่เสมอ จากเรื่องราวเล็ก ๆ ของม้วนฟิล์มที่ปรากฎ “ประวัติศาสตร์คู่ขนาน” นำไปสู่การต่อกรกับอำนาจอักษะที่ปกครองอเมริกามาเกือบ 20 ปี โดยที่ในเวลาเดียวกัน เราก็จะได้เห็นปัญหาทางการเมืองระหว่างสองประเทศที่ยังคงเดือดระอุและพร้อมจะก่อสงครามกันตลอดเวลา ได้เห็นวัฒนธรรม ความคิด และอุดมการณ์อันน่ากลัวที่ยังคงถูกสานต่อ ซึ่งปรากฏอยู่ในทุก ๆ ตอนผ่านเหตุการณ์และการกล่าวถึงสภาพสังคมแวดล้อม นโยบายรัฐ และอื่นอีก ๆ มาก เราได้เห็นการเผยแพร่วัฒนธรรมญี่ปุ่นปกคลุมเมือง ซาน ฟรานซิสโก ได้เห็นชากลายเป็นเครื่องดื่มประจำวันแทนกาแฟ ได้เห็นวิธีการคิด การทำงาน และปกครองของหน่วยงานรัฐแต่ละส่วน เช่นเดียวกับฟากนาซี เราได้เห็นอุดมการณ์ของ ฮิตเลอร์ ที่ถูกสานต่อ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เสร็จสมบูรณ์ นำไปสู่การคัดแยกประชากร ค้นหาสายเลือดบริสุทธิ์ และการถ่ายทอดออกความคิดทั้งหมดส่งต่อไปยังคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะกับคนเยอรมันเองหรือคนอเมริกันก็ตาม
นอกเหนือจากนั้น การเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางเลือกทำให้ซีรีส์สามารถบิดเอาเรื่องจริงที่เรารับรู้อยู่แล้วมานำเสนอในทิศทางอื่นที่ต่างออกไปได้ แม้ว่าโลกใน The Man in the High Castle ฝ่ายอักษะจะชนะสงคราม แต่เราก็จะได้เห็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์คล้าย ๆ กันเกิดขึ้นคู่ขนานไปด้วย อาทิ การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงเมือง วอชิงตัน ดี.ซี. แทนที่ ฮิโรชิมะ และ นางาซากิ / การเกิดสงคราม ญี่ปุ่น-จีน แทนที่ อเมริกา-เวียดนาม / การเกิดสงครามเย็น ญี่ปุ่น-นาซี แทนที่ อเมริกา-รัสเซีย และอื่น ๆ อีกมากจนปฏิเสธไม่ได้ว่าหากคุณสนใจหรือเคยเรียนรู้ประวัติศาสตร์โลกเบื้องต้นมา น่าจะเอนจอยกับซีรีส์เป็นพิเศษจริง ๆ เพราะมันสร้างโลกใหม่จากโลกเดิมได้สนุก สร้างสรรค์ และไปไกลกว่าที่คาดไว้เสมอตั้งแต่ต้นจนจบจริง ๆ
กระนั้น สิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้ก็คือตัวละคร ซีรีส์เต็มไปด้วยตัวละครเท่าโหลที่ต่างมีฟังก์ชั่นและความสำคัญต่อเรื่องแตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวละครเด่นไปจนถึงตัวละครรอง การโฟกัสไปยังชีวิตทุกฝักทุกฝ่ายทำให้เกิดเรื่องราวสีเทาเกิดขึ้น เรื่องของสาวธรรมดาที่สานต่อเจตนารมณ์น้องสาว, สายลับเยอรมันที่เริ่มตั้งคำถามกับประเทศตัวเอง, รัฐมนตรีญี่ปุ่นที่เสาะหาโลกอันสงบสุข ไปจนถึงเจ้าหน้าที่รัฐนาซีชาวอเมริกาที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว เรื่องราวใน The Man in the High Castle เต็มไปด้วยคอนฟลิกต์ที่สนุกเพราะเล่นกับเรื่องการเมืองและการเป็นฝักเป็นฝ่ายตลอดเวลา อุดมการณ์ความคิดที่แรงกล้าของนาซีกับญี่ปุ่นทำให้เราได้เห็นมิติหลายๆส่วนที่น่าสนใจ ซ้อนทับอยู่บนเรื่องราวที่เป็นมากกว่าโลกดิสโทเปียอันดำมืด การได้เห็นมุมที่น่ากลัวของกลุ่มต่อต้าน และด้านที่อ่อนไหวของชาวนาซีหรือญี่ปุ่น ทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจและตัดสินได้ยากตลอดเวลา เราอาจจะเกลียดในสิ่งที่ประเทศเหล่านี้ทำต่อมนุษย์ แต่ในบางจังหวะเราก็อดไม่ได้ที่จะเอาใจช่วยไปกับตัวละครนาซีหรือญี่ปุ่นที่กำลังแก้ไขสถานการณ์วิกฤต ซึ่งเป็นส่วนที่เราชอบในซีรีส์มาก ๆ เพราะเมื่อดูมาจนจบ ก็พบว่าเราคล้อยตามไปกับทุกตัวละครทุกฝ่ายในเรื่องเลย อาจจะเพราะหนังย้อนกลับมาตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่ตัวละครกระทำด้วย จนต้องยอมรับว่าซีรีส์หาทางลงให้กับตัวละครเกือบทุกคนได้ดีจริง ๆ (ไม่เว้นกระทั่งตัวละครชั่วร้ายที่หลายคนเกลียด)
นอกเหนือจากนั้น The Man in the High Castle เป็นซีรีส์ที่โดดเด่นในงานสร้างมาก ๆ การจะตอกย้ำความเป็น Alternate History จำเป็นจะต้องถ่ายทอดผ่านภาพประวัติศาสตร์ในโลกที่ต่างออกไป เราได้เห็นการดีไซน์นิวยอร์กที่นาซีปกครอง ได้เห็น ซาน ฟรานซิสโก เวอร์ชั่นญี่ปุ่น และก็ได้เห็น Neutral Zone พื้นที่คั่นกลางระหว่างสองประเทศที่ให้บรรยากาศราวกับแดนเถื่อน ทั้งหมดที่ว่ามีบุคลิกที่เด่นชัดด้วยวิธีการสร้างโลกที่มีเสน่ห์และเข้มข้น ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเราก็จะได้เห็นพื้นที่ใหม่ ๆ เหตุการณ์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น ส่วนที่เราชอบที่สุดคือการรังสรรค์ “เจอร์มาเนีย” เมืองในฝันของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่หมายมั่นจะสร้างขึ้นแต่เลือนรางหายไปเมื่อเกิดสงครามโลก ในโลกความจริงเราได้เห็นแค่แปลนโมเดล แต่ในซีรีส์มันมีชีวิตขึ้นมา ความเป็นประวัติศาสตร์ทางเลือกของมันจึงน่าสนใจตรงนี้ ตรงที่เราได้เห็นและสัมผัสสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นในโลกความจริง (นอกเหนือจากนั้น เราจะได้เห็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าของนาซีอีกมากมายที่ถูกสานต่อจากช่วงสงครามโลกอีกที)
จริงๆยังมีหลายอย่างที่อยากเขียนถึงแต่เกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญจนเกินไป (ด้วยความตั้งใจให้บทความนี้เป็นบทความแนะนำซีรีส์ไม่ใช่บทความวิเคราะห์) เรื่องหนึ่งที่อยากเน้นย้ำและน่าจะทำให้ใครหลายคนสนใจคือเรื่องของโลกคู่ขนาน มันเริ่มต้นจากการเป็นทฤษฎีประหลาดๆน่าพิศวง พัฒนาจนกลายมาเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนโลกทั้งใบ เราชอบวิธีการใช้ประวัติศาสตร์ทางเลือกของมันมาก ๆ ในขณะที่ตัวซีรีส์เองนำเอาเรื่องราวจริงมาเล่นกับการรับรู้ของผู้ชม (ที่อยู่ในโลกเดิม โลกที่ประวัติศาสตร์ทั้งหมดเป็นของเรา) เรื่องราวในซีรีส์ ม้วนฟิล์ม หรือการมีอยู่ของโลกอีกใบก็ส่งผลและมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในเรื่องด้วย การได้รู้ว่ายังมีโลกอีกใบที่ฝ่ายสัมพันธมิตรชนะสงคราม โลกที่นาซีและเยอรมันพ่ายแพ้ ทำให้เกิดความหวังและกำลังใจที่จะแก้ไขโลกที่เราอยู่ให้ต่างออกไปจากเดิม ไอเดียดังกล่าวแข็งแรงและน่าสนใจมาก ๆ กลายเป็นทั้งความตื่นเต้น ชวนฉงน และจุดเริ่มต้นของการต่อสู้โดยแท้จริง การต่อสู้ที่มีความเชื่อและหลักฐานยืนยันว่าโลกของเราอาจกลายเป็นแบบนั้นได้เช่นกัน
ที่หยิบมาเขียนให้อ่านกันเพราะปีนี้ซีรีส์เดินทางมาถึง Final Season แล้ว แม้จะไม่ได้เข้มข้นหรือสนุกแบบซีซั่น 2 แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องราวการต่อสู้ทางอำนาจ การเมือง และทฤษฎีโลกคู่ขนานเดินทางมาไกลและหาทางลงได้อย่างน่าประทับใจ ใครที่ชื่นชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางเลือกทำนอง Watchmen, Inglourious Basterds, X-Men ไม่อยากให้พลาดเรื่องนี้กัน เพราะมันหยิบเอาเรื่องราวจริงมาจินตนาการต่อได้สนุกและเข้มข้นจนบางครั้งก็น่าตกใจในความกล้า บ้า และสร้างสรรค์ ใครสนใจ The Man in the High Castle สามารถรับชมได้ทางสตรีมมิ่ง Prime Video ของ Amazon ครับ มีทั้งหมด 4 ซีซั่น ซีซั่นละ 10 ตอนครับ
.
.
ติดตามบทความของเพจ Kanin The Movie ได้บน LINE TODAY ทุกวันพุธ
dee2 seriesดีๆแบบนี้ไม่มีใครcomment แต่เรื่องตบตีนี่เยอะเลย
20 พ.ย. 2562 เวลา 06.24 น.
wichit limsakul หลายชาติได้ลิ้มรสของสงครามที่ถูกทั้ง เยอรมันนาซีและญี่ปุ่นข่มแหงรุกราน อาศัยเหตุที่ตัวเองมีแสนยานุภาพ...
มาบัดนี้ อเมริกา ถือได้ว่ายิ่งใหญ่กว่ายุคนาซีเยอรมันเสียอีก ไม่ชอบใจใคร ก็หนุนฝ่ายค้านของประเทศนั้น ทั้งการเมืองทางทหาร บางประเทศถึงขนาด ส่งทหารไปรบ ยึดพื้นที่ ตั้งเขตปกครองอิสระ มีที่ไหนบ้าง..เวียตนาม อัฟกานิสถาน อิรัก ลิเบีย ยูเครน ซีเรีย นี่ปัจจุบัน กำลังหนุนมอบฮ่องกง....อเมริกาถ้าจะโดนบ้างก็น่าจะได้ลิ้มรสที่ได้ทำกับประเทศอื่นเสียบ้าง.
20 พ.ย. 2562 เวลา 07.13 น.
หมอพิบูล ดูหนัง เนื้อหาต้องฉีกแนวจึงจะมีความน่าสนใจ แม้ว่าจะมีคนเข้าถึงไม่มากแต่คนกลุ่มนึงก็เฝ้าค้นหามาดูครับ ขอบคุณมากครับ😍😍
20 พ.ย. 2562 เวลา 06.33 น.
.m แปะลิงค์ให้ทีครับ
20 พ.ย. 2562 เวลา 18.02 น.
เอ็ม&M ถ้านาซียังอยู่พวกยิวคงไม่กล้ากำแหงเหมือนปัจจุบันนี้
20 พ.ย. 2562 เวลา 08.57 น.
ดูทั้งหมด