จากกรณีหญิงวัย 60 ปี ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลสีบัวทอง อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ฝันว่ามีมนุษย์แต่งกายโบราณมาบอกแหล่งที่ซ่อนสมบัติ เมื่อตื่นเช้ามาและเดินไปตามทางที่ฝันก็พบตะกรุดงาช้างดำเป็นเงางาม พร้อมก้อนหินมีแสงแวววาว ซึ่งตามความเชื่อของคนไทย "มนุษย์แต่งกายโบราณ" ท่านนั้นคือ "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ที่เฝ้าสมบัติรอวันคืนเจ้าของ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : มนุษย์โบราณเข้าฝันบอกที่เก็บกรุสมบัติหญิงวัย 60 ไปตรวจดูพบตะกรุดงาช้างดำ)
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของ "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" สืบต่อกันมาซึ่งถูกบันทึกไว้ใน wikipedia ว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเก่า ครั้งที่บ้านเมืองยังสงบเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขายกับชาวต่างชาติ อาณาประชาราษฎร์ล้วนมีชีวิตที่สุขสบาย จึงต่างเก็บหอมรอมริบ สะสมแก้วแหวนเงินทองมีค่าไว้มากมาย
จนกระทั่งเกิดสงครามถึงคราวพ่ายแพ้แก่พม่า กรุงศรีอยุธยาต้องล่มสลาย แต่ทางคณบดีหรือคนที่มีทรัพย์สมบัติมากมายนั้นมีวิธีป้องกันทรัพย์สมบัติของตนเองมิให้ผู้อื่นมาขโมยไปได้โดยการนำทรัพย์สมบัติไปฝังดินหรือเก็บซ่อนไว้บนเรือน จากนั้นก็สั่งให้จัดการบริวารหรือทหารของตนเองให้เป็นผีตายโหงอยู่กับสมบัติที่ถูกฝังเพื่อหวังจะให้วิญญาณเหล่านั้นเป็นผี "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" คอยเฝ้าสมบัติของตนเองตลอดไป
ต่อมาปี พ.ศ. 2500–01 เรื่องราวของปู่โสมเฝ้าทรัพย์ก็โด่งดังไปทั่ว จนกลายเป็นข่าวลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เมื่อโจรลักลอบขุดสมบัติกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปขุดค้นภายในวัดราชบูรณะ เมื่อนำสมบัติออกมาท้องฟ้าก็เกิดวิปริตแปรปรวน จากนั้นก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับ "พระแสงขรรค์ชัยศรี" หนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ได้เกิดส่องแสงแวววับขึ้นมา ต่อมาหนึ่งในผู้ลักลอบก็เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในสภาพเมามาย พร้อมกับยอมรับว่าเป็นผู้ที่ลับลอบเข้าไปขุดค้นเองและได้คืนของที่ขโมยเอาไปแก่เจ้าหน้าที่ แต่ผู้ที่ร่วมขบวนการต่างก็มีอันเป็นไป หรือเสียสติไปรำดาบอยู่กลางตลาด ขณะเดียวกันร้านที่รับซื้อไว้ก็ต้องล้มเลิกกิจการไป
ต่อมาปี พ.ศ. 2503 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช หรือ "พระองค์พีระ" นักแข่งรถสูตรหนึ่งชาวไทยที่มีชื่อเสียงในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ได้รับ "สมุดข่อยโบราณ" จากพระสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งเขียนอักษรไทยโบราณด้วยสีแต่ตัวอักษรได้ซีดจาง โดยลายแทงบอกว่า พระนครศรีอยุธยามีสมบัติโบราณถูกฝังเอาไว้ถึง 303 แห่ง โดยเฉพาะที่ "วัดกุฏิดาว" มีขุมทรัพย์ฝังอยู่ถึง 16 แห่ง พระองค์จึงทำเรื่องขออนุญาตต่อกรมศิลปากรเพื่อทำการขุดหาสมบัติ โดยมีข้อตกลงว่า หากเจอสมบัติโบราณจริงๆ พระองค์จะมอบให้แก่รัฐ 90% ส่วนอีก 10% จะเป็นของพระองค์ เมื่อกรมศิลปากรตกลงตามข้อเสนอ พระองค์จึงทำการขุดหาทันที
"พระองค์พีระ" ได้ชวนพระสหายจากต่างประเทศให้มาร่วมทำการขุดในครั้งนี้ โดยใช้เครื่อง "ไมน์ ดีเทคเตอร์" เป็นเครื่องมือที่ใช้สำรวจหาวัตถุธาตุต่างๆ ที่อยู่ใต้ดิน แต่ต้องประหลาดใจที่เมื่อขุดลงไปตรงจุดตามที่ลายแทงระบุว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ กลับไม่พบทรัพย์สินมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว พบเพียงกระเบื้องโบราณลวดลายสวยงามทับถมซับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเสียเวลาไปมากกับการโกยเอากระเบื้องเหล่านั้นขึ้นมา
ซึ่งการขุดค้นหาสมบัติโบราณที่วัดกุฏิดาวในครั้งนั้นนอกจากจะพบความผิดหวังแล้ว พระองค์เจ้าฯ และพระสหายยังพบกับเหตุการณ์ที่น่ากลัว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ทั้งที่ท้องฟ้ายังสว่าง ซึ่งสิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันแต่งตัวแบบนักรบไทยโบราณ แต่ไร้หัว
แต่เหตุการณ์ก็น่ากลัวขึ้น เมื่อพระองค์ฯ กลับวังก็ยังได้ยินเสียงคล้ายคนขุดดินตลอดเวลา ต่อมาพระองค์ฯ ได้นำเรื่องไปเล่าให้แก่พระสงฆ์รูปหนึ่งที่มีอภิญญาฟังท่านบอกว่า ผีหัวขาดที่พระองค์เห็นนั้นเป็นทหารของพระเจ้าอู่ทอง ชื่อ "ผาด" และได้สาปแช่งแก่ผู้ที่มาขุดค้น ด้วยความโกรธแค้นจึงมาสำแดงกายให้เห็นทั้งยังสาปแช่งพวกที่มาขุดสมบัติของเขาทุกคน
ต่อมาคำสาปแช่งก็เป็นจริง เมื่อพระสหายคนหนึ่งที่ร่วมทีมขุดกับท่านได้เสียชีวิตกะทันหัน ส่วนสหายอีกคนก็หายสาบสูญไป โดยไม่ทราบชะตากรรม และพระองค์ฯเองที่ทำธุรกิจอะไรก็ขาดทุน จากเหตุการณ์ดังกล่าวพระองค์จึงหันมาศึกษาพุทธศาสตร์อย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นด้านจิตศาสตร์เป็นสำคัญ ทำให้เรื่องราวการขุดสมบัติบริเวณวัดกุฏีดาว จึงต้องล้มเลิกและจวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปขุดหาสมบัติที่วัดนี้อีก เพราะเกรงว่าวิญญาณจะยังคงวนเวียนเฝ้าสมบัติ และตามมาหลอกหลอนสาปแช่ง
อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของนักวิชาการ แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เชื่อว่า ความเชื่อเรื่องปู่โสมเฝ้าทรัพย์นั้น ไม่น่าจะมีอยู่จริงในความเชื่อของชาวอยุธยาร่วมสมัย เนื่องจากอ้างอิงจากหลักฐานรายชื่อผีที่ปรากฏในพระไอยการเบ็ดเสร็จ ไม่พบว่า มีบันทึกถึงปู่โสมเฝ้าทรัพย์ หรือผีเฝ้าสมบัติ แต่อย่างใด รวมถึงความเชื่อนี้ก็ขัดต่อความเชื่อในคติของพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ที่ชาวอยุธยาเชื่อถืออีกด้วย เนื่องจากนิกายเถรวาทไม่เชื่อในเรื่องของอันตรภพ เมื่อตายไปแล้วจะไปเกิดยังภพภูมิตามยถากรรม จึงสันนิษฐานว่า ความเชื่อนี้คงมาจากประเทศอินเดีย หรือเกิดจากการสร้างเป็นละครโทรทัศน์จนผู้คนเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง
เรื่องราวของปู่โสมเฝ้าทรัพย์นั้นอ้างถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยของไทยหลายประการ สร้างเป็นภาพยนตร์ตลอดจนละครโทรทัศน์หลายครั้ง เช่น ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ทางช่อง 7 เมื่อปี พ.ศ. 2550 นำแสดงโดย สันติ วีระบุญชัย, สุวนันท์ คงยิ่ง และภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล หรือดัดแปลงเป็นนวนิยายโดยทมยันตี และสร้างเป็นละครโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมในช่วงกลางปี พ.ศ. 2559 เรื่อง พิษสวาท ทางช่องวัน เป็นต้น
ขอบคุณภาพจาก (อยุธยา-Ayutthaya Station)
KOOKAI519⛵️💰🐷♾️♥️ เราก็ยังเชื่ออยู่ดี ว่า ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ มีอยู่จริง คำสาปแข่งก็มีจริง ไม่อย่างนั้น คนที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสมบัติโบราณจะมีอันเป็นไปได้อย่างไร เหตุบังเอิญคงไม่เกิดขึ้นบ่อยๆหรอก
08 ส.ค. 2563 เวลา 12.36 น.
KTP ทำไมดูใหม่จังตะกรุด
08 ส.ค. 2563 เวลา 16.32 น.
พระองค์พีระท่านยังเชื่อแล้วไงดี
08 ส.ค. 2563 เวลา 13.44 น.
ประทวน สายในร่อนใหม่มาก
09 ส.ค. 2563 เวลา 02.32 น.
Golf ถ้าเราใช้กองทัพ ผี ทั้งหลาย ไปเล่นงาน ทหารพม่า
เราก็คงไม่เสีย กรุง
น่าคิดไหม
08 ส.ค. 2563 เวลา 15.00 น.
ดูทั้งหมด