เสือของกลางนับร้อยจากวัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปันโน เป็นประเด็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของวงการอนุรักษ์ในประเทศไทยมานานหลายปีจนอาจเริ่มเลือนไปจากความทรงจำ จนกระทั่งข่าวความตายของเสือของกลางจำนวนมากจุดความสนใจของสาธารณชนขึ้นมาอีกครั้ง
เสือมาจากไหน?
เสือโคร่งทั้ง 147 ตัวที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ทำการขนย้ายออกจากวัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปันโน อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี นั้น ไม่ปรากฏที่มาชัดเจน แต่จากการตรวจสอบพันธุกรรมพบว่า มากกว่า 90% เป็นเสือโคร่งไซบีเรีย ซึ่งเป็นชนิดย่อยของเสือโคร่งที่มีขนาดตัวใหญ่ที่สุด รวมทั้งมีขนที่หนาเพื่อป้องกันความหนาวตามที่อยู่ในธรรมชาติของมันในตอนใต้ของรัสเซียและจีนตะวันออก
ซึ่งบรรดาเสือโคร่งทั้งหมดในโลกนี้สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายชนิดย่อยด้วยกัน โดยที่เสือโคร่งที่พบตามธรรมชาติของประเทศไทยนั้นเป็นเสือโคร่งอินโดจีน (Indochinese tiger, Panthera tigris tigris) มากกว่า โดยในวัดแห่งนี้ นอกจากเสือโคร่งไซบีเรียแล้ว ยังพบว่ามีเสือโคร่งชนิดย่อยมลายู อินโดจีน และลูกผสมข้ามชนิดปะปนอยู่ในจำนวนนี้ด้วย
สุขภาพของเสือเป็นอย่างไร?
เนื่องจากเสือส่วนมากเป็นชนิดย่อยไซบีเรีย เมื่อต้องอยู่ในอากาศที่ร้อนและชื้นของประเทศไทย รวมทั้งมีพันธุกรรมและภูมิต้านทานที่อ่อนแอจากการผสมกันเองจนเลือดชิด จึงทำให้มีความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้า (stimuli) และความเครียด
เมื่อถูกเคลื่อนย้ายอย่างเร่งด่วนในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ถึง ต้นมิถุนายน ปี พ.ศ. 2559 เสือจำนวนมากจึงแสดงภาวะเครียดออกมาเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน เพื่อตรวจเช็คสุขภาพและสืบประวัติการรักษา ซึ่งพบว่าทางวัดมีการให้วัคซีนรวมของแมวด้วย[1]
ในระหว่างนี้ พบว่าเสือบางส่วนมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ หายใจเสียงดังและหอบ เป็นอัมพาตที่ลิ้นกล่องเสียงและลิ้นกล่องเสียงบวมจึงไม่สามารถขยับเปิดปิดระหว่างหลอดลมและหลอดอาหารได้สนิท เมื่อมีอาการมากขึ้นจะไม่กินอาหาร ชักเกร็ง และตายในที่สุด โดยปัจจัยของอุณหภูมิที่สูงมีผลต่ออาการเหล่านี้ด้วย [2]
และจากการตรวจตัวอย่างเสือโคร่งที่ตาย พบว่ามีการติดเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัข (Canine Distemper Virus, หรือ CDV) ซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่อันตรายถึงตาย และรักษาไม่หาย
ไข้หัดสุนัขคืออะไร?
โรคไข้หัดสุนัขเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Canine Distemper Virus หรือ CDV โดยสามารถติดต่อได้จากสารคัดหลั่งของสัตว์ที่ป่วย (body fluids) และผ่านการหายใจ (airborne) ซึ่งไข้หัดสุนัขนี้เป็นโรคติดต่อร้ายแรงสำหรับสุนัขและสัตว์ป่าหลายชนิด (และไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดาอย่างที่จะติดกันได้ในหน้าฝนอย่างที่หลายคนเข้าใจ)
หลังจากติดเชื้อแล้ว ระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจ และระบบทางเดินอาหารจะถูกทำลาย โดยในปัจจุบัน ยังเป็นโรคที่ไม่มียารักษาได้เป็นการเฉพาะ ทำได้แค่เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น ซึ่งทางสัตวแพทย์ได้ให้ยาปฏิชีวนะ ยากระตุ้นภูมิ และดำเนินการผ่าตัดลิ้นกล่องเสียง ฯลฯ ตามความเหมาะสมของอาการ โดยทางสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าได้รับการสนับสนุนจากคณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน, คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล, และสัตวแพทย์จากซาฟารีเวิล์ด ในการแก้ไขปัญหาระบบทางเดินหายใจและอาการอัมพาตลิ้นกล่องเสียง รวมทั้งกำหนดแนวทางในการดูแลเสือโคร่งที่ยังเหลืออยู่
จากข้อมูลของสัตวแพทย์ได้บอกว่า แนวทางการรักษาโรคไข้หัดสุนัขในเสือโคร่งยังไม่มีข้อมูลมากนัก แต่เป็นยอมรับกันว่า เมื่อไวรัสชนิดนี้ก่อโรคในเสือโคร่ง อาจมีอาการรุนแรงมากกว่าในสุนัขซึ่งเป็นพาหะตามธรรมชาติ และถ้าหากพบการติดเชื้อในประชากรเสือโคร่งที่อยู่กันเป็นเอกเทศ เช่น ในอินเดีย อาจถึงขั้นทำให้ประชากรสูญพันธุ์ได้
การดูแลของกรมอุทยานฯ เป็นอย่างไร
ภาพแสดงแผนผังสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง 325 ไร่, ภาพโดย สิริพรรณี สุปรัชญา
ทางกรมอุทยานฯ ได้มีการจัดโซนนิ่งเสือป่วยคัดแยกตามระดับอาการ เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามรักษา มีการให้วัคซีนป้องกันโรคไข้หัดสุนัขโดยได้รับการสนับสนุนในการคัดกรองโรคจากศูนย์เฝ้าระวังและติดตามโรคจากสัตว์ป่า สัตว์ต่างถิ่น และสัตว์อพยพ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
นอกจากนี้ ยังมีการดูแลรักษาเสือโคร่งที่ป่วยตามอาการ โดยอาจพิจารณาผ่าตัดเป็นกรณีไป และมีการปรับปรุงที่อยู่อาศัยของเสือให้มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพิ่มพื้นที่และส่งเสริมพฤติกรรมเพื่อลดความเครียด เช่น มีการสเปรย์น้ำเพิ่มเติมในวันที่อากาศร้อน และมีการติดตามดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์
เสือในสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้างกำลังพักผ่อน และที่เดินมาทักทายเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล, ภาพโดย สิริพรรณี สุปรัชญา
เสือในวัดมาจากไหน?
บริษัท ไทเกอร์ เทมเพิล จำกัด ยื่นขอรับใบอนุญาตจัดตั้งสวนสัตว์สาธารณะครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558 และไม่ได้รับอนุญาตเนื่องจากติดภาระผูกพันเรื่องที่ดิน อันเป็นสถานที่เดียวกันกับมูลนิธิวัดป่าฯ และครั้งที่สองในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ซึ่งได้รับอนุญาตภายใต้เงื่อนไข 11 ข้อ [4]
ต่อมา บริษัทได้ทำการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท โกลเด้น ไทเกอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด และได้ทำการจัดหาสัตว์ป่าโดยขอรับโอนเสือโคร่ง 20 ตัวจากสวนสัตว์สาธารณะมะลิ-สาริกา จังหวัดนครนายก ที่เลิกดำเนินกิจการ แต่ปรากฏว่า เนื่องจากทางสวนสัตว์สาธารณะมะลิ-สาริกาต้องเร่งใช้ที่ดิน ประกอบกับ บริษัท โกลเด้น ไทเกอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน การรับโอนนี้จึงถูกยกเลิก และทางสวนสัตว์สาธารณะมะลิ-สาริกาได้ตกลงมอบเสือทั้ง 20 ตัวนั้นให้กับกรมอุทยานฯ
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา 'หลวงตาจันทร์” เจ้าอาวาส (ผู้ไม่เคยหนีคดี แต่เจ้าหน้าที่หาตัวไม่พบเอง) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ทำโครงการ Tiger Temple ไว้โดยซื้อที่ดินเพิ่มเติมจำนวน 2 พันไร่ โดยจะปรับเป็นสวนสัตว์ลักษณะเปิดเพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และมีรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ
แต่ในวันนี้ สภาพของ 'วัดเสือ' ที่เคยรุ่งเรืองในอดีตกลับวังเวง ภายในวัดยังคงมีสัตว์หลงเหลืออีกหลายชนิด รวมทั้งสิงโต 1 ตัว ชวนให้สงสัยว่า หากทางวัดมีศักยภาพมากพอจะขยายกิจการเพิ่มเติม เหตุใดจึงไม่ดูแลสัตว์ที่มีอยู่ให้ดีเสียก่อน และเหตุใดจึงต้องมุ่งความสนใจไปที่เสือโคร่งมากเป็นพิเศษ
สุดท้ายแล้ว เราอาจต้องย้อนกลับมาที่คำถามว่า ทำไมวัดต้องมีเสือ หรือการเลี้ยงสัตว์อื่นใด? นี่ใช่กิจของสงฆ์หรือไม่?
สิงโตที่ยังเหลืออยู่ในวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน, ภาพโดย ทอม โพธิสิทธิ์
ให้เสืออยู่ที่วัดดีกว่าจริงหรือ?
ความตายของเสือจำนวนมากนำพามาซึ่งความสงสัย แต่ถ้าหากเราลองเทียบดูแล้ว พบบันทึกว่าเสือเริ่มทยอยตายครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ก่อนการบุกยึดชุดใหญ่โดยเจ้าหน้าที่ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ถึง ต้นมิถุนายน ปี พ.ศ. 2559 ซึ่งเส้นเวลา หรือ timeline นี้ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการไขว่าเสือโคร่งชุดนี้เริ่มติดไวรัสมาจากที่ใด
และในความเป็นของกลางที่คดียังไม่สิ้นสุด เสือภายใต้การดูแลของกรมอุทยานฯ ที่ตายต้องผ่านขั้นตอนการทำเอกสารไว้เป็นหลักฐาน และถูกดองฟอร์มาลดีไฮด์เก็บรักษาไว้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ตรวจสอบได้ ต่างจากของทางวัดที่ไม่มีให้ตรวจสอบการตายของเสือ ซึ่งนัยยะของการไม่มีหลักฐาน ไม่ได้เป็นหลักฐานว่าไม่เคยมี (Absence of evidence is not an evidence of absence.)
และในการบุกยึดของเจ้าหน้าที่ ยังพบซากเสือ ซากสัตว์ป่า รวมทั้งขวดโหลที่ดองลูกเสือและอวัยวะเสือจำนวนมาก ซึ่งทางวัดได้ปฏิเสธความเกี่ยวข้อง ทั้งที่เมื่อได้รับแจ้งเหตุในปี พ.ศ. 2544 นั้น ในวัดยังมีเสือเพียง 7 ตัวเท่านั้น
แม้เรื่องซากเสือในวัดยังไม่กระจ่าง แต่จากข้อมูลว่าเสือโคร่งเหล่านี้ไม่ใช่เสือชนิดท้องถิ่น มีพันธุกรรมที่อ่อนแอ และไม่มีสัญญาณชาตเอาตัวรอดแบบสัตว์ป่า อีกทั้งยังป่วยด้วยโรคติดต่อร้ายแรงถึงตายที่สามารถแพร่สู่สัตว์ป่าท้องถิ่นได้ จึงไม่มีคุณค่าในเชิงอนุรักษ์แบบนอกถิ่นที่อยู่อาศัย (ex situ conservation) เนื่องจากไม่สามารถปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของการอนุรักษ์สัตว์ป่าอย่างบูรณาการ
ส่วนการส่งคืนประเทศต้นทางนั้นไม่สามารถทำได้ เนื่องจากการส่งมอบสัตว์และพืชในบัญชีหมายเลข 1 ของไซเตส (CITES) นั้น จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อประเทศต้นทางเป็นผู้แจ้งขอคืน หรือเป็นทางการของไทยแจ้งให้ประเทศต้นทางมารับเมื่อคดีสิ้นสุด ซึ่งถ้าหากประเทศต้นทางไม่รับคืน หรือไม่รู้ท่ีมาชัดเจน ก็ไม่อาจกระทำได้
ภาพการปฏิบัติงานของคณะเจ้าหน้าที่ในการตรวจซากสัตว์ป่าภายในวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน, ภาพโดย กรมอุทยานฯ
กรมอุทยานฯ ควรทำอะไร?
หากจะบอกว่า ในเรื่องนี้กรมอุทยานฯ พลาดเรื่องใดมากที่สุด ก็คงต้องบอกว่า น่าจะเป็นเรื่องการขาดการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจที่ดีกับสื่อมวลชนและสาธารณชน เก่ียวกับรายละเอียดต่างๆ ของเสือโคร่งเหล่านี้และคดีความกับทางวัด และไม่เปิดเผยหรือยอมรับความช่วยเหลือจากองค์กรต่างๆ ที่เสนอตัวเข้ามา เมื่อคนไม่รู้ก็ย่อมคาดการณ์ไปในทางร้ายก่อนเป็นธรรมดา
การที่โรคไข้หัดสุนัขในเสือโคร่งมีอัตราการตายสูงถึง 88% (ซึ่งโรคไข้เลือดออกอีโบลาในมนุษย์ยังมีอัตราการตายที่ 50% เท่านั้น) ทำให้การดูแลเสือโคร่งเหล่านี้แทบจะได้เรียกได้ว่าเป็นการดูแลแบบประคับประคอง หรือ palliative care โดยที่ไม่ว่าจะเป็นใครรับไปเลี้ยงก็จะมีอัตราการตายสูงไม่ต่างกัน
และอีกประการคือ ทางกรมอุทยานฯ ไม่มีทิศทางดำเนินคดีต่อวัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปันโนที่แน่ชัด แม้จะทำการยึดเสือโคร่งมาแล้วก็ตาม เป็นที่ค้านสายตาองค์กรอนุรักษ์ทั้งในและนอกประเทศมากมาย
ก็ได้แต่หวังว่า ในอนาคตข้างหน้าหน่วยงานราชการบ้านเราจะเปิดเผยต่อสาธารณชนมากกว่านี้ เพราะไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราก็ยังต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] ข้อมูลจากการสัมภาษณ์นายบรรพต มาลีหวล หัวหน้าสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า เขาประทับช้าง, 24 สิงหาคม 2562
[2] เอกสารของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชี้แจงกรณีสาเหตุการตายของเสือโคร่ง ที่รับมาจากวัดหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน จังหวัดกาญจนบุรี, 16 กันยายน 2562
[3] www.nationalgeographic.com
[4] Slide การแก้ไขปัญหาสัตว์ป่าของกลางที่ตกเป็นของแผ่นดิน ภายในวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ของ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, 3-4 มีนาคม 2561
[6] www.facebook.com
[10] news.thaipbs.or.th
[11] www.afro.who.int
Illustration by Waragorn Keeranan
Pol Thunya ตอบความจริงด้วยนะ...อย่าแค่ปัดให้พ้นตัว ...ปล่อยตายได้ไงตั้ง 86 ตัวเพราะบอกเองว่ามันทะยอยตาย แล้วปล่อยทะยอยตายจนถึง 86ตัวจนเป็นข่าว...ตอนมันตายแรกๆๆทำอะไรกันอยู๋ พระท่านเลี้ยงผสมพันธุ์กันเองทำไมอยู่รอดได้...
17 ก.ย 2562 เวลา 13.12 น.
เลือดสุ1000 ถ้าติดโรคตาย..1น่าจะตายยกฝูง 2.ถ้าค่อยๆตายจากติดโรคทำไมไม่แยกออกจากกัน..ใครอธิบายหน่อยจะได้หายสงสัย
17 ก.ย 2562 เวลา 13.22 น.
Modinho ถ้าทราบเรื่องความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้า ทำไมจึงไม่วางแผน ในการเคลื่อนย้าย หรือต้องรีบเอาออกจนไม่ได้คำนึง
17 ก.ย 2562 เวลา 13.36 น.
Jane ก็มันเครียด ที่เปลี่ยนที่อยู่ และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ไม่ได้ ไม่ว่าสัตว์อะไรถ้าโตแล้ว เอาไปที่อยู่ใหม่ มันก็จะไม่อยากอยู่ รวมถึงคนเราด้วย เคยอยู่บ้านจนแก่ แล้วพาเขาไปอยู่ที่อื่น ก็ไม่มีความสุขเท่าบ้านตัวเอง สุดท้ายเครียดตรอมใจตาย ถ้าอยู่ที่เดิมอาจไม่ตาย เยอะขนาดนี้
17 ก.ย 2562 เวลา 13.35 น.
Rainny L.(อิมกึมบี)🌦 สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ทั้งกรรมที่มาจากมนุษย์ สิ่งแวดล้อมและจากกรรมของมันเอง
17 ก.ย 2562 เวลา 13.16 น.
ดูทั้งหมด