นับจากพรรคอนาคตใหม่โดนสั่งยุบพรรค และตัดสิทธิ์แกนนำพรรคเป็นเวลา 10 ปี ในคดีกู้ยืมเงินจากหัวหน้าพรรค ส่งผลให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ไม่สามารถเข้าไปทำหน้าที่ในสภาได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความเคลื่อนไหวต้องจบสิ้นไป
เมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไป ก็มีพรรคก้าวไกลมาแทน โดยมีพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และชัยธวัช ตุลาธน รับช่วงต่อ ส่วนนายธนาธรกับแกนนำพรรคเดิมยังคงเดินหน้าในการทำกิจกรรมรูปแบบอื่นๆ ในนามคณะก้าวหน้า
“ขณะที่พรรคก้าวไกลก็ยังคงอภิปรายในสภาได้อย่างมีคุณภาพและแหลมคม ไม่ลดระดับลงไปสักเท่าไรนัก ขณะที่คณะก้าวหน้าก็มีความเคลื่อนไหวต่างๆ เตรียมทัพลงสนามการเมืองท้องถิ่นเต็มสูบ รวมทั้งกิจกรรมร่วมกับประชาชนในการฝ่าวิกฤตในช่วงโควิดอย่างต่อเนื่อง”
จนล่าสุดเมื่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2564 เข้าสภาในวาระแรก ซึ่งพรรคฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบและเปิดประเด็นที่ประชาชนสนใจ โดยเฉพาะการจัดงบประมาณที่ไม่ทุ่มเทงบประมาณไปในเรื่องสถานการณ์โควิด กอบกู้เศรษฐกิจ แก้ปากท้องประชาชนได้อย่างมากมายเพียงพอ
กลับยังคงมีงบประมาณช้อปปิ้งอาวุธปรากฏอยู่จำนวนมาก เรือดำน้ำก็ซื้อเพิ่ม
“เป็นการทำหน้าที่ชำแหละงบประมาณวงเงินสูงถึง 3.3 ล้านล้านบาทได้อย่างน่าสนใจ ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาชาติ พรรคมิ่งขวัญ”
จนกระทั่งผลโพลหลังจากนั้น ในหัวข้อคำถามว่า ถ้าหากมีการเลือกตั้งในวันนี้จะเลือกพรรคไหน
“พรรคก้าวไกลมาเป็นอันดับ 1 ตามติดด้วยเพื่อไทย นั่นส่วนหนึ่งคงเป็นผลมาจากการทำหน้าที่อภิปรายงบประมาณได้อย่างมีคุณภาพของพรรคก้าวไกล”
ไม่เท่านั้น ที่สร้างความฮือฮาและความผวาดผวาให้ขั้วการเมืองตรงข้ามก็คือ เมื่อมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณปี 2564 ดังกล่าว
มีชื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในสัดส่วนของพรรคก้าวไกลด้วย
“ทำเอาเสียงคัดค้านนายธนาธรดังกระหึ่มมาจากฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลและคนในรัฐบาลอย่างร้อนรนทันที”
ส่วนหนึ่งคงเพราะไม่นึกว่านายธนาธรที่ควรจะถูกกีดกันออกไปจากวงการเมืองไทย กลับยังคงเคลื่อนไหวต่อไป รวมทั้งยังจะเข้ามามีบทบาทในกรรมาธิการเพื่อพิจารณางบประมาณอีกด้วย
ทำให้นายธนาธรยังคงโดดเด่นได้ต่อไป
อีกส่วน อาจเพราะงบประมาณมีข้ออ่อน มีช่องโหว่อยู่ไม่น้อย ทั้งงบประมาณซื้ออาวุธ งบประมาณที่ส่อว่าเป็นการแฝงเร้น มีหวังถูกขุนพลฝ่ายค้านรวมทั้งนายธนาธรเข้ามาชำแหละ และตัดหั่นแหลกลาญแน่
โรคหวาดผวาธนาธรจึงกลับมาระบาดอีกรอบในหมู่กลุ่มคนขั้วสนับสนุนรัฐบาล!
พร้อมๆ กับการต่อต้านนายธนาธร ไม่ให้ทำหน้าที่กรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณ ด้วยเหตุผลนามธรรม เช่น มีมลทินทางการเมือง พรรคโดนยุบไปแล้ว ไม่ควรมีบทบาททางการเมืองแล้ว อะไรเหล่านี้
ซึ่งไม่ใช่เหตุผลที่จะหยุดยั้งอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ได้ เนื่องจากไม่เข้าข่ายผิดกฎหมายใดๆ ในการเข้ามาทำหน้าที่กรรมาธิการวิสามัญของสภา
ขณะเดียวกัน ยังประสานไปกับความพยายามที่จะขัดขวางคณะก้าวหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง กล่าวหาโครงการรับบริจาคช่วงโควิด ด้วยข้อหาร้ายแรง
แต่พรรคก้าวไกลก็มีการชี้แจงตอบโต้ในทุกประเด็น จนถึงขั้นฟ้องร้องกลับข้อหาหมิ่นประมาท เพื่อขึ้นพิสูจน์ข้อเท็จจริงของการบริจาคในชั้นศาล
“ทั้งหลายทั้งปวง ขั้วสนับสนุนรัฐบาลอาจผิดหวังอย่างยิ่ง ไม่คาดคิดว่า เมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไปแล้ว นายธนาธรและแกนนำอื่นๆ โดนตัดสิทธิ์การเมืองไปถึง 10 ปี แต่กลับเหมือนฆ่าไม่ตาย ทำลายไม่หมด!”
ยังคงมุ่งมั่นจริงจังที่จะผลักดันการเปลี่ยนแปลงตามความคิดความเชื่อ ที่จะสร้างการเมืองใหม่
แถมเมื่อไม่มีธนาธร แต่ยังมีพิธาและพรรคก้าวไกลเดินหน้าทำการเมืองใหม่ในสภาต่อไป
ทั้งน่าสังเกตด้วยว่า ในโพลที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าจะเลือกพรรคก้าวไกลมาเป็นอันดับ 1 นั้น
ความคิดเห็นของประชาชนที่สะท้อนผ่านโพล ยังต้องการการเมืองใหม่อย่างชัดเจน
“คำว่าการเมืองใหม่ ก็ไม่มีพรรคไหนชัดเจนเท่ากับอนาคตใหม่และก้าวไกลในวันนี้”
อีกทั้งการที่นายธนาธรยังคงมีบทบาทต่อไป ไม่อาจปิดกั้นได้ และพรรคก้าวไกลยังคงทำหน้าที่ด้วยแนวการเมืองใหม่ได้ต่อเนื่อง
ยังหมายถึงการเชื่อมโยงถึงพลังคนรุ่นใหม่ ที่ได้รับการปลุกขึ้นมาครั้งใหญ่ และแห่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างคึกคัก
รวมทั้งพลังคนรุ่นใหม่ ยังทำให้เกิดปรากฏการณ์แฟลชม็อบไปทั่วทุกสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ที่สร้างความหวั่นไหวต่อรัฐบาลอย่างมาก ยังดีที่โควิดเหมือนระฆังช่วยเอาไว้
“โดยวันนี้พลังคนรุ่นใหม่คือพลังที่น่ากลัวที่สุดของกลุ่มอำนาจเก่า โดยร้อนแรงในโลกโซเชียล”
ทั้งหมดนี้เชื่อกันว่า นายธนาธรและคณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล คือผู้นำทางความคิดของคนรุ่นใหม่
จำเป็นต้องหยุดให้ได้!!
แต่กลุ่มอำนาจล้าหลังคงไม่คิดอย่างรอบคอบเพียงพอว่า การจัดการกับนายธนาธร นายปิยบุตร พรรคอนาคตใหม่ ถ้าใช้วิธีการเดิมๆ ด้วยกลไกอำนาจ ก็ไม่ได้ต่างไปจากสมัยจัดการกับทักษิณและยิ่งลักษณ์ คือลงเอยยิ่งทำให้คนที่ถูกทุบตียิ่งเนื้อหอม
ความนิยมในหมู่ประชาชนไม่เคยลดลงไป อาจจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ
สำคัญสุดคือ พลังคนรุ่นใหม่ในสังคมไทย ที่ยิ่งเห็นชะตากรรมของนายธนาธรและคณะ ก็ยิ่งมุ่งมั่นต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้มีการเมืองใหม่อย่างแท้จริง
“ด้วยไม่ยอมรับกระบวนการภายใต้การเมืองเก่าๆ ที่อยู่ในมือของกลุ่มอำนาจล้าหลัง”
ไม่เท่านั้น ที่ฝ่ายอำนาจล้าหลังคิดไม่รอบคอบอีกประการ
กรณีที่เมื่อไม่นานมานี้ มีการไปยื่นร้องต่อองค์กรอิสระให้ตรวจสอบ น.ส.พรรณิการ์ หรือช่อ วานิช และพาดพิงถึงนายปิยบุตรด้วย ว่ายังคงมีการเคลื่อนไหวและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ต้องการให้ตีความให้ชัดว่า คำสั่งตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ 10 ปีนั้น ครอบคลุมถึงไหนกันแน่
เป็นข้อเรียกร้องที่ทำให้บรรดาคนรุ่นใหม่รู้สึกถึงความคับแคบของการเมืองยุคปัจจุบัน
เหมือนกับเป็นการเมืองที่ห้ามคนคิด ห้ามคนพูด ห้ามคนแสดงความคิดเห็น ถ้าหากโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองแล้ว
“จึงขัดแย้งกับอารมณ์เสรีนิยมของคนรุ่นใหม่อย่างมาก!”
แสดงให้เห็นแนวคิดของกลุ่มการเมืองเก่าว่า ต้องการการเมืองที่ประชาธิปไตยเป็นแค่เปลือก เป็นแค่ยี่ห้อปะหน้าเท่านั้น แต่เนื้อแท้ตรงข้ามประชาธิปไตย
มาล่าสุด การคัดค้านต่อต้านนายธนาธรเข้ามาเป็นกรรมาธิการงบประมาณ ด้วยเหตุผลว่าเพราะถูกยุบพรรค ถูกตัดสิทธิ์การเมืองไปแล้ว
ประเด็นนี้คำตอบของนายธนาธรก็คือ สิทธิ์ที่ถูกตัดคือสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง
“แต่ยังคงมีสิทธิ์ในฐานะพลเมืองที่จะทำหน้าที่ โดยเฉพาะการแสดงความคิดเห็นทางเศรษฐกิจและการเมือง”
คำตอบเช่นนี้ของนายธนาธร
ยิ่งปลุกเร้าอุดมการณ์เสรีนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ให้ลุกโชน!
เปี๊ยก FC เขียนเกินไป พวกไม่คาน#ดงปราคช
16 ก.ค. 2563 เวลา 03.38 น.
noom52 สื่อนี้คุ้มค่าที่ถูกซื้อจริงๆ 555
16 ก.ค. 2563 เวลา 01.59 น.
ประสิทธิ์ ไอ้หนักแผ่นดินเด็กเลี้ยงแกะ ไอ้ขี้เปียกการเมือง กูไม่ชอบ ไม่ให้ราคา ไอ้สังคังกากการเมืองเน่าเฟะ ปลุกระดมกระแสแป๊กน่อมแน้มการเมือง
15 ก.ค. 2563 เวลา 23.44 น.
bee ไม่เห็นมีใครกลัวทอนเลย เห็นหน้าแล้วตลกด้วยซ้ำ คนเขียนบทความนี้เข้ามาอ่านคอมเม้นด้วยนะ
15 ก.ค. 2563 เวลา 14.43 น.
Tong tanomnoer 456 อวยกันเข้าไปมติทอน
15 ก.ค. 2563 เวลา 12.15 น.
ดูทั้งหมด