ลินน์ คาร์เพนเตอร์-บอกส์ ศาสตราจารย์ด้านปฐพีวิทยาและเกษตรกรรมยั่งยืน มหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตท และที่ปรึกษาฝ่ายวิทยาศาสตร์ของบริษัทรีคอมโพส (Recompose) เปิดเผยผลการทดลองทำปุ๋ยมนุษย์ในรัฐวอชิงตัน ระหว่างการสัมมนาว่าด้วยเทคโนโลยีและความตายในงานประชุมประจำปีของสมาคมความก้าวหน้าวิทยาศาสตร์อเมริกันเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
โครงการนำร่องนี้ได้ลองทำปุ๋ยจากร่างมนุษย์ 6 ร่างเพื่อทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวิธีนี้ นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาวิจัย 4 ปีโดยตั้งต้นจากการประยุกต์วิธีทำปุ๋ยจากปศุสัตว์ที่มีอยู่แล้ว จากนั้นก็หาอาสาสมัครที่ยินยอมให้ใช้ร่างหลังจากที่ตนเองเสียชีวิตไปแล้วในการวิจัย 6 คน คาร์เพนเตอร์-บอกส์ พบว่าอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดคือ 55 องศาเซลเซียสเป็นระยะเวลาหนึ่ง
กระบวนการนี้เรียกว่าการลดรูปแบบอินทรีย์ตามธรรมชาติ (Natural organic reduction) เปลี่ยนศพให้เป็นปุ๋ยได้ในปริมาณ 2 คันรถเข็นขนดินภายในเวลา 4-6 สัปดาห์ศพจะถูกนำไปใส่ในตู้คอนเทนเนอร์เหล็กรูปหกเหลี่ยมที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ พร้อมกับเศษไม้หั่นชิ้นเล็กๆ หญ้า และฟาง ระบบที่ควบคุมความชื้นและสัดส่วนของคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้เหมาะกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดหนึ่งช่วยเร็งอัตราการย่อยสลายให้เร็วขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นกระดูกหรือฟันก็ย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยได้ ส่วนชิ้นส่วนของอุปกรณ์ที่ฝังอยู่ในร่างกาย เช่น สะโพกเทียม เครื่องควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจจะถูกคัดออกและนำไปรีไซเคิล ดินที่ได้จะมีแบคทีเรียโคลิฟอร์มในปริมาณต่ำ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความปลอดภัยทางชีวภาพ ญาติของผู้ตายก็สามารถนำดินนี้ที่คล้ายกับเถ้าถ่านหรืออัฐิไปเก็บไว้ หรือใช้ปลูกต้นไม้ได้
กระบวนการนี้ใช้พลังงานเพียง 1 ใน 8 ของการเผา คาร์เพนเตอร์-บอกส์ระบุว่า การเผาศพ 1 ศพในสหรัฐอเมริกาผลิตคาร์บอนไดออกไซด์เท่ากับการเผาน้ำมัน 800,000 บาร์เรล หรือเท่ากับปริมาณคาร์บอนที่ใช้ไปกับการเดินทางจากลอนดอนไปยังโรม ส่วนการฝังก็ปล่อยของเหลวที่สามารถปนเปื้อนน้ำใต้ดิน ส่วนโลงศพก็ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม้และเหล็ก
ในทางกฎหมาย รัฐวอชิงตันจะเป็นรัฐแรกในสหรัฐอเมริกาที่อนุญาตให้กระบวนการนี้ถูกกฎหมาย โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคม 2020 และบริษัทรีคอมโพสก็มีแผนที่จะเปิดให้บริการโดยเริ่มจากรัฐวอชิงตันก่อน ตอนนี้บริษัทมีแผนสร้างอาคารเพื่อรองรับธุรกิจนี้ โดยใช้เงินลงทุนไปแล้ว 6.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตั้งเป้าว่ากระบวนการทำปุ๋ยจากมนุษย์นี้ ผู้ใช้บริการจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 5,500 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างค่าฝังศพที่ใช้เงิน 1,000-7,000 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเผาศพที่ใช้เงินอย่างน้อย 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ที่มา:
https://www.theguardian.com/society/2020/feb/16/human-composting-could-be-the-future-of-deathcare
https://www.bbc.com/news/science-environment-51389084
https://www.geekwire.com/2020/tech-death-researchers-work-new-ways-handle-remains-flesh-online/
iamOat. เอาไปใส่ต้นอะไรบอกด้วยน้ะจะได้ไม่กิน
18 ก.พ. 2563 เวลา 22.59 น.
TOOM เคยมีคำพูดว่า “เดี๋ยวจับทำปุ๋ยซะเลย“ เป็นความจริงแล้ว
18 ก.พ. 2563 เวลา 22.49 น.
เอ่อ ญาติเราคงอยากได้กระดูก เถ้าเราไว้บูชาบางส่วนมั่งละนา รับม่ายด้ายอ่ะ
18 ก.พ. 2563 เวลา 22.38 น.
เราตาย เมียพาไปฝังไว้ใต้ต้นมะพร้าวเพื่อเป็นปุ๋ย
มีใครกล้ากินน้ำมะพร้าวต้นนั้นไหม
เมียตาย เราพาเธอไปฝังไว้ใต้ต้นกล้วย เราไม่กล้ากินกล้วยผลกล้วยจากต้นนั้น
18 ก.พ. 2563 เวลา 21.15 น.
ดูทั้งหมด