นักวิจัย มทร.ธัญบุรี นำกากสาโทเหลือทิ้งจากโรงงาน มาผลิตเป็นน้ำส้มสายชูหมักเพื่อเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้รักสุขภาพ ย้ำประโยชน์สำคัญ “ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่” จากของเหลือทิ้งในกระบวนการผลิต
ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย อาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ร่วมกับ คุณรมิตา เรือนสังข์ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ พร้อมด้วยคุณสุรัตน์ ยกยิ่ง ผู้ประกอบการสุรากลั่น จังหวัดปทุมธานี แบรนด์ไทยสาโทและสุรากลั่นอังเคิลทอม ศึกษาวิจัยผลงาน “การใช้ประโยชน์จากกากสาโทเหลือทิ้ง เพื่อผลิตน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวด้วยปฏิกรณ์ชีวภาพ” ในโครงการวิจัย “การพัฒนาระบบการจัดการเชิงพื้นที่ด้วยการใช้นวัตกรรม : เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของเสียและสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ในเขตพื้นที่จังหวัดปทุมธานี”
ผศ.ดร.เจริญ เผยว่า จุดเริ่มต้นของผลงานวิจัยเกิดจากปัญหาของบริษัท ไทยโปรดักส์แอนด์เบเวอร์เรจ จำกัด ผู้ผลิตสาโท และสุรากลั่นจากสาโท ในแบรนด์ไทยสาโท และสุรากลั่นอังเคิลหอม ซึ่งเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของจังหวัดปทุมธานี ที่มีกำลังผลิตสาโทและสุรากลั่นจากข้าว 50,000 ลิตร ต่อเดือน และมีเศษเหลือเป็นกากข้าวเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตที่สูงถึงประมาณ 5,000 กิโลกรัม ต่อเดือน โดยกากข้าวเหลือทิ้งดังกล่าว ต้องนำไปบำบัดในระบบบำบัดของบริษัท แต่มีข้อจำกัดในด้านขนาดของระบบ เนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและต้องเพิ่มกำลังการผลิต อีกทั้งบริษัทยังมีต้องการที่จะเปลี่ยนผลิตภัณฑ์จากสาโท ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหลือทิ้งในกระบวนการผลิตจากความผิดพลาดในการบรรจุ รวมถึงการรั่วไหลระหว่างการขนส่ง ให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกิดประโยชน์อย่างมีคุณค่า จึงได้นำกากสาโทเหลือทิ้งจากโรงงาน มาศึกษาวิจัยและนำมาผลิตเป็นน้ำส้มสายชูหมัก สู่เครื่องดื่มสุขภาพ และเพื่อจำหน่ายในร้านอาหารญี่ปุ่น สำหรับใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร
ในการศึกษาวิจัย การใช้ประโยชน์จากกากสาโทเหลือทิ้งเพื่อผลิตน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวด้วยปฏิกรณ์ชีวภาพ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนโดยสรุปคือ 1. ศึกษาคุณสมบัติของกากสาโทและนำสาโทเหลือทิ้ง ด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี 2. ศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการผลิตกรดอะซิติก โดยศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการผลิตกรดอะซิติก ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ ปริมาณกรดอะซิติก และวิเคราะห์ความเข้มข้นของกรดอะซิติกและจำนวนแบคทีเรียหลังการหมัก 3. การทดสอบทางประสาทสัมผัส 4. ทดสอบประสิทธิภาพการผลิตกรดอะซิติกในระดับต้นแบบ จากนั้นขยายขนาดการผลิตและเก็บตัวอย่างระหว่างการหมักมาวิเคราะห์กรดอะซิติกและการเจริญของแบคทีเรีย และ 5. การทดสอบกับผู้บริโภค ด้วยการทดสอบการยอมรับผลิตภัณฑ์จากการทดสอบผู้บริโภค 100 คน ในระดับมาก ร้อยละ 50 รองลงมายอมรับมากที่สุด ร้อยละ 28 และยอมรับปานกลาง ร้อยละ 22 และบอกอีกด้วยว่า “น้ำส้มสายชูหมักจากข้าวนี้ นับว่าเป็นเครื่องดื่ม ประเภทเฮลท์ตี้ดริงก์ ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น รวมถึงช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี”
ด้านคุณสุรัตน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งที่ทางมหาวิทยาลัยได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการของเหลือทิ้งให้เกิดประโยชน์ โดยน้ำส้มสายชูหมักนี้จะเป็นตัวเสริมให้กับทางบริษัท หากนำไปเป็นส่วนผสมกับน้ำผลไม้ก็จะได้รสชาติที่อร่อยยิ่งขึ้น ซึ่งน้ำส้มสายชูหมักในปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น แต่จะต้องสร้างสรรค์รสชาติให้ถูกจริตกับคนไทย ขณะเดียวกัน น้ำส้มสายชูหมักยังใช้เป็นเครื่องปรุงสำคัญของอาหาร อาหารญี่ปุ่น รวมถึงตำรับอาหารอื่นๆ มากมาย
นับว่าเป็นแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการจัดการของเหลือทิ้งและการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างแท้จริง
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. (081) 649-4337
บ้านผมเค้าหมักด้วยน้ำตาลโหนคับ
23 ก.พ. 2563 เวลา 07.55 น.
ทัศน์ วรัฐบาลไทยเองทำไมไม่อื้อคนรากหญ้าทำเหล้าท้องถิ่นขายแล้วจัดเก็ยภาษีบ้านที่ทำขายทุกหลังคาเรือน.. บ้ายไหนไม่อร่อยก็เจ๊งไปก็ให้สรรพกรกับ อบจ. อบต. จัดคิวขึ้นตีทะเบียน.. ก็ดีกว่าควักเงินให้นายทุนใหญ่โก่งราคาหนุนคนรวนมาขูดคนจนบังคับเอาเงินไปให้คนรวย...ถ้าชิมทั่วไทยเหล้าตามตำบลยังเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่นยามเศรษฐกิจเน่าๆแบบนี้.. กระคึกคักสร้างรายได้ท้้องถิ่น..ไม่ว่าจะอุ สาโท น้ำตาลเมา เหล้ากลั่น เบียร์ท้องถิ่น. แค่นี้เงินชาวบ้านจะสะพัดให้เห็น.เอาแค่พวกแอลกอฮอล์เหล้านี้อย่างเดียวก็เห็นแล้ว
23 ก.พ. 2563 เวลา 07.48 น.
Prasert จัดไป
23 ก.พ. 2563 เวลา 07.33 น.
ช r Charachon โห ประเทศเรามีกากสาโทเหลือทิ้งพอที่จะเอามาผลิตน้ำส้มให้คุ้มค่ามากปานนั้นเหรอฮับ
23 ก.พ. 2563 เวลา 07.15 น.
ดูทั้งหมด