ต้นรัชศกซุ่นจื้อ รัฐบาลราชวงศ์ชิงเริ่มดําเนินนโยบายปิดประเทศ โดยออกคําสั่งห้ามชาวบ้านออกทะเล เพื่อรับมือกับกลุ่มต่อต้านราชวงศ์ชิงซึ่งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน เมื่อจักรพรรดิคังซีทรงผนวกไต้หวันรวมเป็นหนึ่งได้สําเร็จใน ค.ศ.1684 พระองค์ทรงยกเลิกนโยบายปิดประเทศอยู่ช่วงหนึ่ง
แต่เนื่องจากปัญหาโจรสลัดบริเวณกชายฝั่งทะเลรุนแรงขึ้นทุกวัน ดังนั้นสมัยรัชศกเฉียนหลงจึงดําเนินการควบคุมการออกทะเลของชาวบ้าน และควบคุมการค้ากับชาวต่างชาติอย่างเข้มงวดขึ้น นั่นทำให้รัฐบาลราชวงศ์ชิงตกใจมากเมื่อพบว่าเรือพาณิชย์ของอังกฤษพกอาวุธมาจํานวนมหาศาล
ค.ศ. 1757 จักรพรรดิเฉียนหลง (ค.ศ. 1735-96) ทรงประกาศใช้นโยบายปิดประเทศ มีรับสั่งให้ยุติการค้าที่เมืองท่าต่างๆ เช่น เซี่ยเหมิน หนิงปัว และอวิ่นไถซาน ฯลฯ คงเหลือเพียงเมืองกวางเจา ที่อนุญาตให้ทําการค้ากับพ่อค้าต่างชาติได้
แต่ห้ามพ่อค้าต่างชาติติดต่อกับทางราชการโดยตรง กิจการทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพ่อค้าต่างชาติจะต้องโอนให้ “สิบสามห้าง” [เป็นชื่อของ กลุ่มการค้าที่รัฐบาลชิงจัดตั้งขึ้นที่เมืองกวางเจา โดยได้รับสัมปทานมีสิทธิ์ผูกขาดทางการค้า] เป็นผู้ดําเนินการทั้งหมด เพื่อไม่ให้กลุ่มต่อต้านราชวงศ์ชิงมีโอกาสสมคบคิดกับคนในและนอกประเทศ มาคุกคามอํานาจการปกครองของรัฐบาลชิง
แต่ที่ออกจะประหลาดคือ ห้ามสตรีชาวตะวันตก หรือ“แหม่มฝรั่ง”เข้าเมืองโดยเด็ดขาด
ต่อมาข้าหลวงใหญ่มณฑลกวางตุ้งและมณฑลกวางสี่อนุญาตให้ “แหม่มฝรั่ง” ติดตาม “พ่อค้าฝรั่ง” มาพักอาศัยที่มาเก๊าได้ แต่เข้าพักที่กวางเจาไม่ได้ จึงทําให้บรรดาหนุ่มฝรั่ง “โสด” ซึ่งพักอยู่ในกวางเจาโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง พวกเขามองว่าการออกกฎเป็นการกระทําที่เหลวไหล
เหตุใดรัฐบาลราชวงศ์ชิงจึงต้องห้ามแหม่มฝรั่งเข้าประเทศจีน ไม่ใช่เพราะรัฐบาลชิงคิดว่าแหม่มฝรั่งเป็น “เสือดุ” แต่เป็นเพราะเหตุผลทางวัฒนธรรมและการเมือง
หนึ่งคือความรู้สึกระแวดระวังภายในใจกําลังคุกรุ่น ชาวจีนได้รับการอบรมสั่งสอนให้อยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณี ความคิดที่ว่าต้องครองตนให้อยู่ในทํานองคลองธรรม และ “หนุ่มสาวห้ามถูกเนื้อต้องตัวกัน” ล้วนฝังลึกในจิตใจชาวจีน แต่เสื้อผ้าของสตรี ชาวตะวันตกที่เปิดเผยเนื้อหนังมังสามากเกินไป รวมถึงพฤติกรรมที่ ผู้หญิงจับมือและโอบกอดผู้ชายตามใจชอบนั้นทําให้วัฒนธรรม “เสื่อมเสีย”
อีกหนึ่งคือความจําเป็นในการควบคุมพ่อค้าต่างชาติ เมื่อห้ามผู้หญิงฝรั่งเข้ามาในเมือง พ่อค้าฝรั่งก็จะรู้สึกขาดความอบอุ่น ในครอบครัว ทําให้พวกเขาเบื่อการใช้ชีวิตคนโสดในเมืองกวางเจา และพวกเขาก็ย่อมไม่อาจพักอยู่ ระยะยาวต่อไปได้
ที่จริงแล้วรัฐบาลราชวงศ์ชิงจงใจขัดขวาง ชาวต่างชาติให้พวกเขาเจออุปสรรคและถอนตัวไปเอง
แต่ใน ค.ศ.1830 (รัชศกเต้ากวงปี ที่ 10) เหตุการณ์ “แหม่มฝรั่ง” เข้ามาที่เมืองกวางเจา (หรือเรียก ว่า “เหตุการณ์มาดามเบนส์”) ทําให้ความขัดแย้งระหว่างจีนกับอังกฤษในประเด็นนี้กลายเป็นปัญหารุนแรง
วันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ.1830 มิสเตอร์เบนส์ นายใหญ่บริษัทอีสต์อินเดียของอังกฤษประจําเมือกวางเจา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารสูงสุด ของบริษัทอีสต์อินเดียของอังกฤษ พาผู้หญิงต่างชาติหลายคน รวมทั้งมาดามเบนส์จากมาเก๊าเดินทางมากวางเจา พวกเขาและเธอนั่งเกี้ยวขุนนางขนาดเล็กเดินทางเข้าพักที่ย่านพ่อค้า หลายวันต่อมามาดามเบนส์พาหญิงต่างชาติอีกหลายคนนั่งเกี้ยว ขุนนางที่ใช้คนจีนแบกเที่ยวชมเมืองไปโดยรอบ แหม่มฝรั่งทุกคนล้วนสวมเสื้อผ้าทันสมัย สีสันสดใส ชาวเมืองกวางเจารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาแย่งกันมาล้อมวงดูเพื่อชื่นชม “แหม่มฝรั่งสาวสวย”
แต่ใครจะไปรู้ว่า พวกเธอเหล่านี้จะกลับกลายเป็นต้นเหตุความวุ่นวายทางการทูต จนเกือบกลายเป็นสงครามเสียด้วย
ทางการจีนเคยออกกฎเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่า ห้ามชาวต่างชาติแอบพาครอบครัวเข้ามาในเมืองกวางเจา อีกทั้งห้ามนั่งเกี้ยวเข้าย่านพ่อค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่พวกเธอเหล่านี้กลับเฉิดฉายไปมาในเมืองจนเกิดเป็นเรื่องอื้อฉาวไปทั่ว ขุนนางท้องในเมืองกวางเจาตกใจกับเหตุการณ์นี้มาก รีบสั่งให้ติดประกาศทั่วเมือง และยังสั่งชาวจีนให้หยุดมองหญิงสาวเหล่านี้
ทหารในเมืองกวางเจา หลี่หงปินข้าหลวงใหญ่มณฑลกวางตุ้งและมณฑลกวางสี ผู้ตรวจสอบศุลกากรมณฑลกวางตุ้งและข้าหลวงมณฑลกวางตุ้งได้ร่วมลงนามถวายฎีกาแด่จักรพรรดิเต้ากวง(ค.ศ.1820-50) โดยให้ความเห็นว่าผู้หญิงต่างชาติเหล่านี้ “ทําผิดกฎราชสํานักแห่งสวรรค์” เมื่อพระองค์ทรงทราบความ และทรงเห็นว่าพ่อค้าต่างชาติมักทําผิดจารีต ทําให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ จึงมีรับสั่งให้หลี่หงปินไปแจ้งให้พ่อค้าต่างชาติทราบชัดเจนว่าพวกเขาต้องปฏิบัติตามข้อห้ามของ ราชสํานักแห่งสวรรค์อย่างเคร่งครัด
หลังจากนั้นการติดต่อเจรจาด้านการทูตที่ดุเดือดจึงได้เปิดฉากขึ้น
หลี่หงปินออกคําสั่งให้พ่อค้าต่างชาติย้ายกลับไปอยู่ที่มาเก๊า ห้ามพักอาศัยที่เมืองกวางเจาโดยเด็ดขาด พ่อค้าอังกฤษรวมตัวกันประท้วง ไม่ยอมทําตามกฎดังกล่าว
พ่อค้าฝรั่งแย้งว่า ประเทศอังกฤษใช้กฎหมายผัวเดียวเมียเดียว ห้ามมีภรรยาน้อยโดยเด็ดขาด บางครั้งพ่อค้าอังกฤษมาอยู่ในเมืองกวางเจานานถึงครึ่งปี การไม่อนุญาตให้พาครอบครัวเข้ามาอยู่ด้วย ถือเป็นการไม่เห็นอกเห็นใจกันเลย
แต่หลี่หงปินไม่สนใจ การประท้วงและคําอธิบายใดๆ ของพ่อค้าต่างชาติเหล่านี้ ท้ายที่สุด ความรุนแรงของเหตุการณ์ก็ยกระดับไปถึงจุดที่จะต้องใช้กําลังแก้ปัญหา ฝ่ายจีนประกาศว่า หากมิสเตอร์เบนส์ไม่ส่งมาดามกลับไปมาเก๊าตามคําสั่งภายใน 2-3 วันนี้ ทางการจีนจะส่งกองกําลังทหารเข้าไปในย่านพ่อค้าเพื่อขับไล่ มิสเตอร์เบนส์ก็ไม่ยอมอ่อนข้อ เขาได้ระดมกําลังทหารเรือติดอาวุธกว่าร้อยนายและแอบขนปืนใหญ่เข้ามาในย่านพ่อค้าเพื่อเตรียมการต่อสู้
ปัญหา “แหม่มฝรั่ง” ทําให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอังกฤษ ตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดจนอาจปะทุเป็นสงคราม แต่จริงทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ต้องการให้เกิดการปะทะกันขึ้น ขุนนางในมณฑลกวางตุ้งกลัวว่าปัญหาที่นี้จะบานปลาย จึงรีบส่งพ่อค้าที่ติดต่อค้าขายกับต่างชาติไปช่วยคลี่คลายปัญหาแทน ฝ่ายอังกฤษเองก็ยอมถอยก่อน โดยอธิบายสาเหตุของการส่งทหารไปป้องกันย่านพ่อค้าต่างชาติว่า หากทางการจีนรับประกันความปลอดภัยในย่านพ่อค้าเขาก็จะถอนทหารเรือและปืนใหญ่ออกไปเอง
หลี่หงปินตกลงรับปาก เรือรบอังกฤษก็ถอยทัพไป แต่มาดามเบนส์ไม่ได้กลับไปทันที
มาดามอ้างว่าต้องอยู่ดูแลสามีซึ่งไม่สบาย หลี่หงปินทูลรายงานแด่จักรพรรดิเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้มาดามเบนส์อยู่ต่ออีกระยะ มาดามเบนส์ได้อยู่ต่อเรื่อยมาอีก 50 กว่าวัน จึงกลับไปอยู่มาเก๊า
แม้เหตุการณ์นี้จะยุติลงชั่วคราว แต่ เสี่ยอู่ (เซี่ยจื้ออัน) ซึ่งเคยจัดหาเกี้ยวขุนนางให้มิสเตอร์เบนส์ และภรรยา ถูกปลดจากตําแหน่ง และถูกเนรเทศไปซินเจียง รัฐบาลราชวงศ์ชิงเพิ่มความระแวดระวัง โดยการประกาศกฎต่างๆ เกี่ยวกับ “แหม่มฝรั่ง” อีกครั้ง ในช่วงสิบปีหลังจากนั้นก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ผู้หญิงชาวตะวันตกเข้าเมืองกวางเจาอีกเลย
หลังสงครามฝิ่น มีการบันทึกข้อกําหนดลงในสนธิสัญญานานกิงอย่างชัดเจนว่าชาวอังกฤษสามารถ “พาครอบครัว” เข้ามาพักอาศัยอยู่ที่เมืองท่าการค้าได้ จากนั้นมาก็จะเห็น “แหม่มฝรั่ง” เดินไปมาบนท้องถนนของจีน และเกิดการแลกเปลี่ยน ระหว่างผู้หญิงจีนกับผู้หญิงตะวันตก
ข้อมูลจาก :
เส้าหย่ง, หวังไห่เผิง (เขียน) กำพล ปิยะศิริกุล (แปล). หลังสิ้นบัลลังก์มังกร, สำนักพิมพ์มติชน 2560
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 พฤษภาคม 2563
Seangpana กฏหมายของประเทศใด หากเราเข้าประเทศนั้นเราก็ต้องเคารพและปฏิบัติ ตาม แต่ฝรั่งไม่เคยเคารพเลยจะเอาแต่ละเมิด ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่เคยเปลี่ยนสันดาน.....
27 พ.ค. 2563 เวลา 11.46 น.
AnnA ต่างชาติหลายผู้หลายคนไม่เคารพกฎหมายบ้านเมืองของฝั่งเอเชียมาแต่ครั้งสมัยก่อน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ ถึงได้มีเหตุการณ์วุ่นวายในฝั่งเอเชียไม่จบสิ้น เพราะการไม่เคารพต่อกันและเห็นตนเองเป็นใหญ่หรือดีกว่า และเพื่อผลประโยชน์อันเลวร้ายให้แก่ตนและประเทศมัน
27 พ.ค. 2563 เวลา 17.03 น.
WCJ สันดานอีหรั่งมันชอบแก้ผ้าไงเขาถึงได้เรียกมันว่าอั้งม๊อ
27 พ.ค. 2563 เวลา 13.18 น.
โจโจ้ พระเอกบูรซลี สมรสกับภรรยาชาวฝรั่ง มีบุตรชายแบรนดอน บรูซ ลี หน้าตาก็จะออกแนวฝรั่ง
คนจีนจึงกลัวสาวชาวฝรั่ง เดี๋ยวจะคล้ายลูกหลานมองโกล ในดินแดนต่างๆทั่วโลก
27 พ.ค. 2563 เวลา 14.13 น.
Charlie สรุปคือกลัวพวกไอ้ตี๋เงี่ยน
27 พ.ค. 2563 เวลา 12.27 น.
ดูทั้งหมด