เรื่องสั้น

มหาพิภพเทพโอสถ

นิยาย Dek-D
อัพเดต 24 พ.ค. เวลา 22.55 น. • เผยแพร่ 24 พ.ค. เวลา 22.55 น. • ละอองมาร
บนมหาพิภพนักปรุงโอสถถือเป็นสุดยอดอาชีพที่น่าอิจฉา เด็กหนุ่มธรรมดาอย่างหยางชุนกลับประสบวาสนาสวรรค์ เขาและพวกพ้องต้องเผชิญกับตำหนักเทพมาร ขุมกำลังชั่วร้ายนอกจากช่วยบิดาก็ต้องกำจัดรากเหง้านี้ให้สิ้นซาก

ข้อมูลเบื้องต้น

#####นิยายกำลังภายในต่อสู้+วาย#####

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

..การบ่มเพาะ..

1.ลมปราณกำเนิด

2.ลมปราณกายา

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

3.ลมปราณจิต

4.ลมปราณปฐพี

5.ลมปราณนภา

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

6.ลมปราณราชัน

7.ลมปราณทรราช

8.ลมปราณเทพยุทธ

9.ลมปราณปรมาจารย์ฟ้า

10.ลมปราณสวรรค์

11.ลมปราณมหาสวรรค์

12.ลมปราณเซียนสวรรค์

13.ลมปราณเทพสวรรค์

14. จ้าวจักรวาล

..โอสถ..

1.ระดับ1-3 (ระดับต้น)

2.ระดับ4-6 (ระดับกลาง)

3.ระดับ7-9(ระดับสูง)

4.ระดับ10 (ระดับตำนาน)

…ระดับของสมุนไพร…

1.ชั้นสวรรค์

2.ชั้นเซียน

3.ชั้นฟ้า

4.ชั้นล้ำค่า

5.ชั้นสูง

…เขตขั้นของจิต…

1.ขั้นต้น คือ ญาณสัมผัส

2.ขั้นกลาง คือ ร่างจิตวิญญาณ (พลังจิตวิญญาณ)

3.ขั้นสูง คือพลังจิตวิญญาณ แบ่งเป็น 4 เขตขั้น (จากต่ำไปสูง) เขตขั้นนภา-เขตขั้นโพธิ-เขตขั้นเซียน-เขตขั้นสวรรค์

..สัตว์อสูร..

1.ระดับปฐพี

2.ระดับปราณจิต

3.ระดับจิตภูติ

4.ระดับวิญญาณอสูร

5.ระดับจ้าวอสูรคลั่ง

6.ระดับจ้าวนภา

7.ระดับตำนานมายา

8.ระดับอมตะนิรันดร์

…เขตขั้นสายเลือดมังกร…

มีทั้งหมดเจ็ดเขตขั้นดังนี้ โดยเริ่มจาก มังกรผสม มังกรแท้ ราชามังกร ราชันมังกร จักรพรรดิมังกร มังกรเทวะ และมังกรสวรรค์

แต่ละขั้นมีแยกเป็น ต้น กลาง และปลาย

…ระดับของค่ายกล…

7 ระดับ ได้แก่ ปฐมวิถี-ทวีวิถี-ตรีวิถี-จตุวิถี-ปัญจวิถี-สวรรค์วิถี-อนันตวิถี

..เคล็ดวิชา..

1.เคล็ดวิชาพื้นฐาน

2.เคล็ดวิชาขั้นสูง

3.เคล็ดวิชาล้ำค่า

4.เคล็ดวิชามายา

5.เคล็ดวิชาพิภพ

..อาวุธ-ชุดเกราะ..

1.ระดับต่ำ

2.ระดับกลาง

3.ระดับสูง

4.ระดับวีรชน

5.ระดับล้ำค่า

6.ระดับนภา

7.ระดับพิภพ

ทำเนียบสวรรค์

ลำดับที่ 1 เพลิงสหัสภพจ้าวจักรวาล (รุ้งประกายทอง)

ลำดับที่ 2 เพลิงปฐมพุทธมหาปทุมเก้ามรรคา (สีเหลืองประกายรุ้ง)

ลำดับที่ 3

ลำดับที่ 4 มหาอัคคีรุ้งบุปผาสวรรค์ (เพลิงสีรุ้ง)

ลำดับที่ 5

ลำดับที่ 6 มหาอัคนีเก้าหฤทัยทรราชโลกันต์ (เพลิงสีชมพุอมแดง)

ลำดับที่ 7-9

ลำดับที่ 10 เหมันต์หมอกม่วงมายาสวรรค์ (น้ำแข็งสีม่วง)

ลำดับที่ 11 เพลิงสุริยันกระจ่างฟ้า (เพลิงสีทอง)

ลำดับที่ 12

ลำดับที่ 13 วิชชุทองเก้าสวรรค์ (สายฟ้าสีทอง)

ลำดับที่ 14 อัสนีดารานิรันดร์ (สายฟ้าสีเขียวหยก)

ลำดับที่ 15 เพลิงหฤทัยนาคา (เพลิงสีเขียวเข้ม)

ทำเนียบฟ้าดิน

ลำดับที่ 16 เพลิงครามมารมหรรณพ (เพลิงสีครามเข้ม)

ลำดับที่ 17 เพลิงบัวมหาทรราชกลืนโลหิต (เพลิงสีแดงเลือด)

ลำดับที่ 18-

ลำดับที่ 19 เพลิงพุดตานขาวเก้าวิญญาณเหมันต์ (เพลิงสีขาวนม)

ลำดับที่ 20 อัสนีมารทมิฬโลหิต (สายฟ้าสีแดงอมดำ)

ลำดับที่ 21 เพลิงโบตั๋นหฤทัยพิภพ (เพลิงสีเหลืองสด)

ลำดับที่ 22-

ลำดับที่ 23 เพลิงใบบัววิญญาณมรกต (เพลิงสีเขียวใบบัว)

ลำดับที่ 24

ลำดับที่ 25 เพลิงหทัยนกยูงเก้ามายา (เพลิงสีแดงหม่น)

ลำดับที่ 26 บัวเพลิงสัตตบงกชแดง (เพลิงสีแดงทับทิม)

ลำดับที่ 27 เพลิงอัคนีนคราเมฆา (เพลิงสีส้มเข้ม)

ลำดับที่ 28 พิษเพลิงเบญจมาศม่วง (เพลิงสีม่วงเข้ม)

ลำดับที่ 29 อัสนีวายุมังกรคำรน (สายฟ้าสีขาว)

ลำดับที่ 30 อัคคีมณีวารี (เพลิงสีฟ้าอ่อน)

เปลวเพลิงผสานของหยางชุนลำดับที่26+28 คือ เพลิงอัคนีบัวพิษ (เพลิงสีแดงม่วง)

เปลวเพลิงผสานของหยางชุนลำดับที่ 23+26+28 คือ เพลิงบัวพิษมหาอำพันวิญญาณ (เพลิงสีน้ำตาลอำพัน)

เปลวเพลิงผสานของหยางชุนลำดับที่ 21+23+26+28 คือ เพลิงมหารัตนหฤทัยพิภพ (เพลิงสีอำพันเหลือง)

เพลิงนิรมิตของหยางชุน : เพลิงมารอหังการเก้าอสูร (สีน้ำตาลเข้ม)

เพลิงเทียบเท่าทำเนียบ

1-10

11. เพลิงนิลกาฬห้วงทมิฬ (สีดำ)

12. เพลิงพิสุทธิ์แห่งวีรชน

-17

18. เพลิงบัวทศพักตร์โลกันตร์

24

23. เพลิงหมอกอัคคีขาว (สีขาวหมอก) / เพลิงมารแก่นสมุทร (สีครามเข้ม)

26. เพลิงสุริยันพิสุทธิ์ (ไร้สภาพ)

27

28. เพลิงมหาอรุณวิหคหยก (เขียวหยก)

29. เพลิงพิภพเหลือง (สีเหลือง)

30.

เพลิงที่หยางชุนครอบครอง

1. สหัสภพจ้าวจักรวาล (สีรุ้งประกายทองดำเอนกอนันต์ลี้ลับ)-(สวรรค์)

2. เพลิงสุริยันกระจ่างฟ้าสีทอง (สีทองอร่าม พลังชีวิต เยียวยารักษา)-(สวรรค์)

3. เพลิงบัวมหาทรราชกลืนโลหิต(สีแดงเลือด ควบคุมโลหิต ยกระดับพลังฝีมือชั่วคราว)-(ฟ้าดิน)

4. เพลิงพุดตานขาวเก้าวิญญาณเหมันต์(สีขาวน้ำนม เยือกเย็นเหน็บหนาว)-(ฟ้าดิน)

5. เพลิงโบตั๋นหฤทัยพิภพ(สีเหลืองสดใส ควบคุมหินหนืดใต้พิภพ)-(ฟ้าดิน)

6. เพลิงใบบัววิญญาณมรกต (สีเขียวใบบัวประกายม่วง ควบคุมและแผดเผาจิตวิญญาณ)-(สวรรค์)

7. บัวเพลิงสัตตบงกชแดง (สีแดงทับทิม รักษาเยียวยา ดูดกลืนปราณแม้ยามหลับใหล)-(ฟ้าดิน)

8. พิษเพลิงเบญจมาศม่วง (สีม่วงประกายส้ม พิษร้ายหลายลักษณ์)-(สวรรค์)

9. เพลิงเทวาครามบุปผาพิสุทธิ์ (สีฟ้าประกายขาว สร้างมายาภาพ ได้รับมาจากเฝิ่นหง)-(ฟ้าดิน)

10. เพลิงบัวทศพักตร์โลกันตร์(สีส้มเข้ม เอกทศประโยชน์)-(ฟ้าดิน)

11. เพลิงวายุมหานิลุบลชมพู(สีชมพู สร้างพายุ สะกดข่มคุณลักษณะเพลิง)-(ฟ้าดิน)

12. เพลิงมหาพิรุณบัวมรกตวารีสวรรค์(สีเขียวมรกตสดใส วารีเจือปน แผดเผาลมปราณสรรพสิ่ง)-(สวรรค์)

สิบตระกูลสวรรค์

1. ตระกูลโจว (สายเลือดกิเลนสวรรค์) ทวีปบูรพา

2. ตระกูลจาง (สายเลือดวิหคหยกอัสนีอมตะ) ทวีปมัชฌิมเหนือ

3. ตระกูลชิง (สายเลือดมังกรครามดาราสมุทร) ทวีปประจิม

4. ตระกูลโม่ (สายเลือดเต่ามังกรอมฤตสวรรค์) ทวีปประจิม

5. ตระกูลหยาง (สายเลือดมังกรสุริยันกระจ่างฟ้า) ทวีปมัชฌิม

6. ตระกูลเซียว (สายเลือด-) ทวีปบูรพา

7. ตระกูลเสวี่ย (สายเลือดหงสาเหมันต์เมฆาจรัสนภา) ทวีปอุดร

8. ตระกูลเฉา (สายเลือด-)

9. ตระกูลหลิน ทวีปอุดร

10. ตระกูลมู่ ทวีปทักษิณ

สถานที่สำคัญในวังเมฆาโอสถ

-วังเมฆากลางฟ้า

-วิหารแห่งโอสถ

-วิหารแห่งศัสตรา

-สวนสมุนไพร จวนสมุนไพร

-ป่าอสูร

-ลานผนึกอัคคีสวรรค์

ร่างแยกของมหาพฤกษารัตนจิตบรรพกาล (อาจารย์ใหญ่ เฟินฝู)

1.เสี่ยวอี

2. เสี่ยวเอ้อร์ : ร่างในป่าสมุนไพร

3. เสี่ยวซาน

4. เสี่ยวซื่อ : ร่างที่อยู่ในโบราณอัสนีมารทมิฬโลหิต

5. เสี่ยวอู่ : ร่างที่ประจำสถานศึกษาเมฆาสวรรค์

6. เสี่ยวลิ่ว : ร่างในสถานศึกษาพงไพรบูรพา

7. เสี่ยวชี

8. เสี่ยวปา

9. เสี่ยวจิ่ว : ผู้นำตระกูลจิ่ว ตระกูลบรรพกาลระดับสูงแห่งทะเลสาบจันทรามรกต

ทำเนียบมังกรบรรพกาล 19 เผ่า ร่วมก่อตั้ง ภาคีมังกรสวรรค์

สายเลือดมังกร มีทั้งหมดเจ็ดเขตขั้นดังนี้ โดยเริ่มจาก มังกรผสม มังกรแท้ ราชามังกร ราชันมังกร จักรพรรดิมังกร มังกรเทวะ และมังกรสวรรค์ แต่ละขั้นมีแยกเป็นต้น กลาง และปลาย

1-4

5. มังกรพยัคฆ์ขาวเหมันต์

6. มังกรสุริยันกระจ่างฟ้า

7. มังกรครามดารา

8.

9. มังกรครามดาราสมุทร

10. มังกรมรกตสวรรค์

11.

12. มังกรวาฬอัมพรบรรพกาล

13. มังกรเพลิงทิวาเกล็ดมรกต

14. มังกรอัคนีครามบรรพกาล

15. มังกรอสูรฟ้าบรรพกาล

16-19

บัวเพลิงสัตตบงกชแดง

พิษเพลิงเบญจมาศม่วง

เพลิงใบบัววิญญาณมรกต

เพลิงโบตั๋นหฤทัยพิภพ

เพลิงมหาพิรุณบัวมรกตวารีสวรรค์

เพลิงบัวทศพักตร์โลกันตร์

เพลิงวายุมหานิลุบลชมพู

แผนที่อาณาจักรวิหคสวรรค์

แผนที่ของทวีปกลางตอนเหนือ

เริ่มต้นโศกนาฏกรรม+ข้อมูลเบื้องต้น

บทที่ 1 เริ่มต้นโศกนาฏกรรม+ข้อมูลเบื้องต้น

ดินแดนบรรพชนสวรรค์เป็นหนึ่งในหลายดินแดนที่ยังคงมีพลังปราณแห่งชีวิตหลับไหลและหมุนเวียนอยู่ในทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอากาศ ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ก้อนหิน หรือแม้แต่ต้นหญ้าที่ถือกำเนิดจากผืนแผ่นดินของดินแดนบรรพชนสวรรค์ ย้อนกลับไปหลายแสนปีตามตำนานได้เล่าขานเอาไว้ว่า ในยุคสมัยที่โลกใบนี้มีแต่ทวยเทพและเผ่าพันธุ์สัตว์สวรรค์ก่อสงครามแย่งชิงตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดกันนั้น การต่อสู้แย่งชิงความเป็นหนึ่งได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อที่ย้อมทะเล มหาสุมทรให้เป็นสีแดงชาด และกองซากศพนับไม่ถ้วนทับถมกันจนเป็นภูเขาหลายพันหลายหมื่นลูก

มหาสงครามที่ดำเนินมายาวนานนับร้อย ๆ ปีได้สิ้นสุดลงที่การสูญเสียมากกว่าครึ่งของทั้งสองฝ่าย จนมาถึงในยุคปัจจุบันเรื่องราวทั้งหมดได้กลายเป็นตำนาน หรือ นิทานให้ได้กล่าวถึงไว้เล่าให้เด็กน้อยฟังก่อนนอนเท่านั้น ดินแดนบรรพชนสวรรค์ในยามนี้ถูกปกครองอยู่ภายใต้จักรวรรดิวิหคสวรรค์ มีความเป็นมาของเชื้อสายราชวงศ์มาหลายร้อยปี แต่กระนั้นก็ยังต้องยำเกรงต่ออำนาจของของห้าสำนักใหญ่ที่ตั้งอยู่บนดินแดนบรรพชนสวรรค์เช่นกัน

ขุมกำลังประกอบไปด้วย สำนักกระบี่สวรรค์ สำนักพิรุณเยือกแข็ง สำนักเมฆาคราม สำนักมังกรคู่ และตำหนักร้อยบุปผา ห้าสำนักที่อาจเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักค้ำยันยุทธภพในตอนนี้ก็ว่าได้ ห้าสำนักที่เป็นเสมือนแสงสว่างและที่พึ่งให้กับทุกคนในดินแดน แต่ในเมื่อมีแสงสว่างที่สาดส่องก็ย่อมบังเกิดความมืดได้เช่นเดียวกัน เมื่อทุกคนต่างเกิดมามีประสบการณ์ สภาพแวดล้อมและความคิดที่หลากหลายแตกต่างกัน กลุ่มคนที่เห็นต่าง ต่างก็ก่อตั้งสำนักของตนเองขึ้น สำนักฝ่ายธรรมะที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางปฏิบัติของคนกลุ่มนี้ต่างเรียกพวกเขาว่าพรรคมารทั้งสิ้น

ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าลึกที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ที่ผืนป่าและแผ่นดินมอบให้ สถานที่ตั้งของหมู่บ้านอยู่ในเขตปกครองของเมืองหมอกฟ้า เมืองขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณชายแดนของอาณาจักรวิหคสวรรค์ หมู่บ้านแห่งนี้มีผู้คนอยู่อาศัยเพียงแค่สามสิบกว่าหลังคาเรือนเท่านั้น เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่ชื่อ ผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนประกอบอาชีพเกษตรกรทำนา ปลูกผัก และหาเก็บของป่าต่างๆไปขายในตัวเมืองหมอกฟ้า

ในช่วงบ่ายที่แสงแดดสาดส่องไปทั่วผืนป่า ผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านก็ไปทำงานยังไร่นาของตนเอง ภายในป่าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก ยังมีเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีหน้าตาหล่อเหลา แต่หากมองอีกมุมหนึ่งก็งดงามคมคายไม่น้อย ดวงตาคมแววตากระจ่างใสและมีเสน่ห์ หากไม่ติดที่ว่าตัวเขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของเด็กชาวบ้าน เนื้อผ้าหยาบกร้านที่หาซื้อได้ทั่วไปด้วยเศษเงิน ก็จัดว่ารูปงามเลยทีเดียว เด็กหนุ่มคนนี้กำลังก้มหน้าก้มตาขุดหน่อไม้หวานที่ผังอยู่ใต้ดินรอบกอไผ่กอใหญ่

"ว้าว หน่อไม้หวานหัวนี้ใหญ่จริง ๆ คุ้มค่าเหนื่อยของข้าแล้ว" เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยท่าทางดีใจ หลังจากที่เสียแรงไปมากกับการขุดเอาหน่อไม้หวานที่ฝั่งอยู่ใต้ดินออก แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อหักเอาหน่อไม้ใส่ตะกร้าที่สะพายหลังมา ก่อนที่จะยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ย้อยลงมาจากหน้าผาก ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นดินสามารถบดบังความหล่อเหลาบนใบหน้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เวลาผ่านพ้นล่วงไปจนถึงบ่ายแก่แสงอาทิตย์ยังคงสาดส่องแผดเผาไปทั่วทุกสารทิศ ภายในลำธารใหญ่สายหนึ่งที่ไหลตัดผ่านผืนป่า ได้ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มกำลังดำผุดดำว่ายเล่นน้ำในลำธารอย่างสนุกสนานเพื่อลดทอนความร้อนภายในร่างกายและขจัดคราบเหงื่อไคลก่อนที่จะกลับบ้านของตนเอง เรือนผมสีดำที่สยายออกพริ้วไหวไปกับสายน้ำที่ไหลอย่างเอื่อยๆ ท่อนบนที่เปลือยเปล่าปรากฏซึ่งมวลมัดกล้ามเนื้อที่สมกับวัย

ฟุบ!!

เสียงของบางสิ่งบางอย่างร่วงลงมากระทบกับพื้น เด็กหนุ่มที่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนานหันหน้าไปตามทิศทางของเสียงที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นดวงตาของเด็กน้อยก็เบิกกว้างออกด้วยความตกใจ ภาพที่เห็นคือชายชราหนวดเครารุงรัง แต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้ามอมแมม บางส่วนเปรอะเปื้อนด้วยคราบสีแดงคล้ายกับคลราบเลือด เด็กหนุ่มรีบขึ้นจากน้ำทันทีแล้ววิ่งตรงเข้าไปหาชายชราคนนั้น

"ท่านผู้อาวุสโส!! เป็นอย่างไรบ้าง" เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นขณะค่อย ๆ พยุงร่างของผู้อาวุสโสให้ลุกขึ้นมาในท่านั่ง

"น..น้ำ…ขอน้ำ…หน่อย" เสียงอันแหบพร่าของชายชราดังขึ้น เนื้อตัวสั่นเทาเล็กน้อยคล้ายกับกำลังรวบรวมเรี่ยวแรงในการพูดออกมาแต่ละคำ

"นั่งพักตรงนี้ก่อนนะขอรับ" เด็กหนุ่มพยุงร่างของชายชราไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ ลำธาร ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปเอาตะกร้าสะพายหลังของตนที่วางไว้ใกล้ลำธาร แล้วกลับมาหาชายชราที่นั่งหายใจอย่างเหนื่อยหอบ

"น้ำขอรับ" เด็กหนุ่มยื่นกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำที่ตักมาจากลำธารประคองให้ชายชราดื่มอย่างทุลักทุเล ร่างกายของชายชราสั่นเทาและฉุนไปด้วยกลิ่นของยาสมุนไพรบางอย่างที่ฟุ้งๆออกมารอบกาย เด็กหนุ่มกวาดตามองชายชราอย่างละเอียด รูปร่างภายนอกไม่แตกต่างจากชายแก่ทั่ว ๆ ไปเลยแม้แต่น้อย แถมยังดูซกมกเสียด้วยซ้ำไป ข้างลำตัวห้อยแผ่นหยกสีดำสนิทสลักลวดลายบางอย่างเอาไว้

"เจ้าหนู…หาไรให้ข้ากินหน่อย" ชายชราเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำปนความเจ็บปวดเล็กน้อย ดวงตาพร่าเลือนมองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าแล้วพยายามจับสัมผัสพลังปราณภายในร่าง แต่กลับไม่พบอะไร ภายในใจขบคิดว่าน่าแปลกแม้ภายนอกจะดูเหมือนเด็กชาวบ้านทั่วไป จะไร้ซึ่งพลังลมปราณก็คงไม่แปลก แต่เมื่อครู่ที่เด็กหนุ่มประคองตนเองอยู่นั้น มือของเขาก็จับลงไปที่เส้นชีพจรบริเวณแขนกลับสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่แฝงเร้นอยู่อย่างล้ำลึกภายใน แต่หากไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดคงไม่อาจมั่นใจได้ ในตอนนี้เขาควรจะห่วงเรื่องของตนเองก่อนจะดีกว่า

เด็กหนุ่มเหมือนได้สติจากคำพูดของชายชราก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันกลับไปที่ตะกร้าสะพายหลังของตนเอง เขาหยิบห่อข้าวที่ห่อด้วยใบไม้ที่แม่ของเขาทำเอาไว้ให้เมื่อเช้า ส่งให้กับชายชรา ด้านในเป็นข้าวสวยที่ยัดไส้เนื้อหมูป่าตากแห้งอย่างง่าย ๆ ชายชราปริศนารับไว้ก่อนจะรีบกัดกินอย่างมูมมามคล้ายคนอดอยากหิวโหย เด็กหนุ่มจ้องมองชายชราไม่วางตากับท่าทางที่เขาแสดงออกมา

อัก!!

ไม่นานหลังจากกินข้าวไปได้เพียงครึ่งห่อชายชราก็เอามือกุมที่อกของตนเองแสดงสีหน้าที่สุดแสนทรมานออกมา ก่อนจะกระอักเลือดสีดำออกมาคำโต ของเหลวที่คาดคิดว่าเป็นเลือดกลับเป็นสีดำคล้ำและส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา จากนั้นสติของชายชราก็ดับวูบลงในทันที

สีหน้าของเด็กน้อยแปรเปลี่ยนเป็นตกใจอย่างยิ่ง ตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน เขาพยายามที่จะปลุกและเรียกชายชราให้ได้สติอีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจแบกร่างของชายชราขึ้นมาบนหลังของตนเอง ลมหายใจอันอ่อนแรงของชายชรายังคงทำให้เด็กหนุ่มแน่ใจว่าร่างบนหลังของเขายังคงมีชีวิตอยู่

ห่างไปไม่ไกลจากเขตของหมู่บ้านนัก ยังมีบ้านที่สร้างจากไม้หลังเล็ก ๆ อยู่ใกล้กับบริเวณชายป่า ควันจากการทำอาหารและกลิ่นสมุนไพรที่ลอยออกมาจากหม้อต้มยาดินเผาลอยโชยไปตามสายลม ร่างของเด็กน้อยที่กำลังก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับการทำน้ำแกงจากกระดูกหมูและหน่อไม้หวานที่หาได้ ทอดสายตาหันกลับไปด้านหลังบนเตียงไม้ที่มีร่างของชายชรานอนหมดสติอยู่ก็ถอนหายใจออกมา

"ผู้อาวุสโสคนนี้เป็นใครกันนะ ดูจากอาการแล้วยาหม้อนี้คงช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่ก็ดีกว่าปล่อยไว้ไม่ทำอะไรเลย" เด็กหนุ่มเอ่ยพรึมพรำกับตนเองอย่างแผ่วเบาพร้อมทั้งยกหม้อต้มยาลงมาจากเตา ยาสมุนไพรในหม้อนี้เป็นสมุนไพรที่หาได้ทั่วไปในป่าหลังหมู่บ้าน ตัวเขาไม่ได้มีทักษะของนักปรุงยาจึงไม่อาจทำยาหรือเม็ดยาดี ๆ ออกมาได้ เพียงแต่เขาเคยเห็นพ่อกับแม่ของตนเองเก็บมาต้มกินเป็นยาบำรุงกำลังเท่านั้น เขาจึงคิดว่ามันอาจจะพอให้ผู้อาวุสโสคนนี้มีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้บ้าง

"ผู้อาวุสโส…ผู้อาวุสโส…ดื่มยาขอรับ ข้าต้มมาให้ท่าน" เด็กหนุ่มรินยาออกจากหม้อใส่จามเล็ก ๆ เดินเข้ามาหาชายชราแล้วเอ่ยเรียกแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่เมื่อเขาสัมผัสลงที่แขน ดวงตาของชายชราก็เบิกกว้างขึ้นแล้วรีบคว้าแขนของเด็กหนุ่มไว้แน่นในทันที

"อ่อ เจ้านี่เอง…" ชายชราคล้ายจะเริ่มได้สติและจดจำใบหน้าของเด็กหนุ่มได้ จึงคลายมือที่จับแขนของเด็กหนุ่มออก สายตามองยาสมุนไพรที่อยู่ในชาม พร้อมทั้งดมกลิ่นที่โชยมากระทบกับจมูกก็พบว่ายาถ้วยนี้มีระดับต่ำกว่าโอสถระดับต้น ขั้นหนึ่งเสียอีก เพียงดมก็พอจะรู้ว่าสมุนไพรที่ถูกใช้บางอย่างก็เป็นเพียงต้นหญ้าธรรมดาเท่านั้น มันคงจะช่วยบำรุงกำลังคนธรรมดาได้บ้าง แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรกับผู้ฝึกยุทธ และยิ่งอาการบาดเจ็บของเขายิ่งแล้วใหญ่

"เจ้าหนูเจ้าชื่ออะไร" เสียงชายชราเอ่ยออกมาพร้อมทั้งจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่า ๆ

"เอ่อ…ข้าชื่อ หยางชุน ขอรับท่านผู้อาวุสโส" เด็กหนุ่มตอบคำถามของชายชรา เขาแปลกใจอยู่บ้างว่าชายชราไม่แม้แต่จะสนใจชามยาที่เขายกมาให้เลยแม้แต่น้อย เอาแต่จ้องหน้าเขาไม่วางตาเลยทีเดียว

"เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธงั้นรึ พ่อกับแม่ของเจ้าละ" ชายชราเอ่ยคำถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

………………………………………………………………

หมู่เมฆดำค่อย ๆ ยำกายเข้ามาใกล้กับหมู่บ้านเล็ก ๆ ชาวบ้านที่กำลังปลูกข้าวต่างก็แปลกประหลาดกับกลุ่มเมฆดำทมิฬที่ลอยพัดมาอย่างรวดเร็วจนแทบจะไม่ได้ตั้งตัว ห่างไปไม่ไกลก็ปรากฏร่างของคนชุดดำนับสิบกำลังควบม้าตรงเข้ามาทางหมู่บ้านด้วยความรวดเร็ว

"ตามหาเจ้าเฒ่านั่นให้เจอ มันต้องแอบหลบอยู่ในหมู่บ้านนี้อย่างแน่นอน ค้นหาให้ทั่ว ใครขัดขวางฆ่าได้ทันที!!!" ร่างของชายกำยำสวมใส่ด้วยเสื้อผ้า และผ้าคลุมหน้าสีดำสนิททำให้ไม่อาจระบุตัวตนได้ สิ่งที่ปรากฏเพียงสิ่งเดียวคือดวงตาอันดุดันและประกายแววอาฆาตออกมา

"เจ้ากล้าดียังไงถึงมาออกคำสั่งกับคนอย่างข้า" เสียงอันเย็นชาถูกเอ่ยออกมาจากคนชุดดำร่างเล็ก ที่คาดว่าจะเป็นผู้หญิงดังขึ้น ก่อนจะจับจ้องมาทางชายร่างกำยำ แต่นางก็ดูจะมิได้ใส่ใจกับคำพูดของตนเองมากนัก มือหนึ่งควบม้าคู่ใจให้วิ่งตรงตัดผ่านทุ่งนา มืออีกข้างก็ชักกระบี่ออกมาจากฝัก

"หนีเร็ว!!!!………อ๊ากกกก" เสียงจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้กับกลุ่มคนชุดดำมากที่สุดตะโกนออกมาดังสุดเสียงให้ชาวบ้านที่เหลือรีบหนีเมื่อเห็นว่าแขกผู้มาเยือนไม่ได้มาอย่างเป็นมิตร เพียงแต่ยังไม่อาจได้เอ่ยประโยคถัดไป คมกระบี่แวววับก็ปรากฏขึ้นในระยะสายตาก่อนจะเฉือนฟันเข้ากลางหน้าอกจนร่างกระเด็นออกไป

คมกระบี่และศาสตราวุธต่าง ๆ ที่คนสวมชุดดำใช้มีหลากหลายรูปแบบ พลังปราณที่ปลดปล่อยและจิตสังหารที่แผ่พุ่งมาสะกดข่มชาวบ้านที่อยู่ใกล้จนแทบไร้ซึ่งสติประคองตัวเอง ชาวบ้านที่อยู่ห่างออกไปต่างวิ่งหนีตายกันอย่างหวาดกลัว ผืนนาในตอนนี้เจิ่งนองไปด้วยซากศพ และน้ำแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือด

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฆ่ามันให้หมด"

************

ข้อมูลเบื้องต้น

#####นิยายกำลังภายในต่อสู้+วาย#####

..การบ่มเพาะ..

1.ลมปราณกำเนิด

2.ลมปราณกายา

3.ลมปราณจิต

4.ลมปราณปฐพี

5.ลมปราณนภา

6.ลมปราณราชัน

7.ลมปราณทรราช

8.ลมปราณเทพยุทธ

9.ลมปราณปรมาจารย์ฟ้า

10.ลมปราณสวรรค์

11.ลมปราณมหาสวรรค์

12.ลมปราณเซียนสวรรค์

13.ลมปราณเทพสวรรค์

14. จ้าวจักรวาล

..โอสถ..

1.ระดับ1-3 (ระดับต้น)

2.ระดับ4-6 (ระดับกลาง)

3.ระดับ7-9(ระดับสูง)

4.ระดับ10 (ระดับตำนาน)

…ระดับของสมุนไพร…

1.ชั้นสวรรค์

2.ชั้นเซียน

3.ชั้นฟ้า

4.ชั้นล้ำค่า

5.ชั้นสูง

…เขตขั้นของจิต…

1.ขั้นต้น คือ ญาณสัมผัส

2.ขั้นกลาง คือ ร่างจิตวิญญาณ (พลังจิตวิญญาณ)

3.ขั้นสูง คือพลังจิตวิญญาณ แบ่งเป็น 4 เขตขั้น (จากต่ำไปสูง) เขตขั้นนภา-เขตขั้นโพธิ-เขตขั้นเซียน-เขตขั้นสวรรค์

..สัตว์อสูร..

1.ระดับปฐพี

2.ระดับปราณจิต

3.ระดับจิตภูติ

4.ระดับวิญญาณอสูร

5.ระดับจ้าวอสูรคลั่ง

6.ระดับจ้าวนภา

7.ระดับตำนานมายา

8.ระดับอมตะนิรันดร์

…เขตขั้นสายเลือดมังกร…

มีทั้งหมดเจ็ดเขตขั้นดังนี้ โดยเริ่มจาก มังกรผสม มังกรแท้ ราชามังกร ราชันมังกร จักรพรรดิมังกร มังกรเทวะ และมังกรสวรรค์

แต่ละขั้นมีแยกเป็น ต้น กลาง และปลาย

…ระดับของค่ายกล…

7 ระดับ ได้แก่ ปฐมวิถี-ทวีวิถี-ตรีวิถี-จตุวิถี-ปัญจวิถี-สวรรค์วิถี-อนันตวิถี

..เคล็ดวิชา..

1.เคล็ดวิชาพื้นฐาน

2.เคล็ดวิชาขั้นสูง

3.เคล็ดวิชาล้ำค่า

4.เคล็ดวิชามายา

5.เคล็ดวิชาพิภพ

..อาวุธ-ชุดเกราะ..

1.ระดับต่ำ

2.ระดับกลาง

3.ระดับสูง

4.ระดับวีรชน

5.ระดับล้ำค่า

6.ระดับนภา

7.ระดับพิภพ

ทำเนียบสวรรค์

ลำดับที่ 1

ลำดับที่ 2 เพลิงปฐมพุทธมหาปทุมเก้ามรรคา (สีเหลืองประกายรุ้ง)

ลำดับที่ 3

ลำดับที่ 4 มหาอัคคีรุ้งบุปผาสวรรค์ (เพลิงสีรุ้ง)

ลำดับที่ 5

ลำดับที่ 6 มหาอัคนีเก้าหฤทัยทรราชโลกันต์ (เพลิงสีชมพุอมแดง)

ลำดับที่ 7-9

ลำดับที่ 10 เหมันต์หมอกม่วงมายาสวรรค์ (น้ำแข็งสีม่วง)

ลำดับที่ 11 เพลิงสุริยันกระจ่างฟ้า (เพลิงสีทอง)

ลำดับที่ 12

ลำดับที่ 13 วิชชุทองเก้าสวรรค์ (สายฟ้าสีทอง)

ลำดับที่ 14 อัสนีดารานิรันดร์ (สายฟ้าสีเขียวหยก)

ลำดับที่ 15 เพลิงหฤทัยนาคา (เพลิงสีเขียวเข้ม)

ทำเนียบฟ้าดิน

ลำดับที่ 16 เพลิงครามมารมหรรณพ (เพลิงสีครามเข้ม)

ลำดับที่ 17 เพลิงบัวมหาทรราชกลืนโลหิต (เพลิงสีแดงเลือด)

ลำดับที่ 18-

ลำดับที่ 19 เพลิงพุดตานขาวเก้าวิญญาณเหมันต์ (เพลิงสีขาวนม)

ลำดับที่ 20 อัสนีมารทมิฬโลหิต (สายฟ้าสีแดงอมดำ)

ลำดับที่ 21 เพลิงโบตั๋นหฤทัยพิภพ (เพลิงสีเหลืองสด)

ลำดับที่ 22-

ลำดับที่ 23 เพลิงใบบัววิญญาณมรกต (เพลิงสีเขียวใบบัว)

ลำดับที่ 24

ลำดับที่ 25 เพลิงหทัยนกยูงเก้ามายา (เพลิงสีแดงหม่น)

ลำดับที่ 26 บัวเพลิงสัตตบงกชแดง (เพลิงสีแดงทับทิม)

ลำดับที่ 27 เพลิงอัคนีนคราเมฆา (เพลิงสีส้มเข้ม)

ลำดับที่ 28 พิษเพลิงเบญจมาศม่วง (เพลิงสีม่วงเข้ม)

ลำดับที่ 29 อัสนีวายุมังกรคำรน (สายฟ้าสีขาว)

ลำดับที่ 30 อัคคีมณีวารี (เพลิงสีฟ้าอ่อน)

เปลวเพลิงผสานของหยางชุนลำดับที่26+28 คือ เพลิงอัคนีบัวพิษ (เพลิงสีแดงม่วง)

เปลวเพลิงผสานของหยางชุนลำดับที่ 23+26+28 คือ เพลิงบัวพิษมหาอำพันวิญญาณ (เพลิงสีน้ำตาลอำพัน)

เปลวเพลิงผสานของหยางชุนลำดับที่ 21+23+26+28 คือ เพลิงมหารัตนหฤทัยพิภพ (เพลิงสีอำพันเหลือง)

เพลิงนิรมิตของหยางชุน : เพลิงมารอหังการเก้าอสูร (สีน้ำตาลเข้ม)

เพลิงเทียบเท่าทำเนียบ

1-10

11. เพลิงนิลกาฬห้วงทมิฬ (สีดำ)

12. เพลิงพิสุทธิ์แห่งวีรชน

-17

18. เพลิงบัวทศพักตร์โลกันตร์

24

23. เพลิงหมอกอัคคีขาว (สีขาวหมอก) / เพลิงมารแก่นสมุทร (สีครามเข้ม)

26. เพลิงสุริยันพิสุทธิ์ (ไร้สภาพ)

27

28. เพลิงมหาอรุณวิหคหยก (เขียวหยก)

29. เพลิงพิภพเหลือง (สีเหลือง)

30.

สิบตระกูลสวรรค์

1. ตระกูลโจว (สายเลือดกิเลนสวรรค์) ทวีปบูรพา

2. ตระกูลจาง (สายเลือดวิหคหยกอัสนีอมตะ) ทวีปมัชฌิมเหนือ

3. ตระกูลชิง (สายเลือดมังกรครามดาราสมุทร) ทวีปประจิม

4. ตระกูลโม่ (สายเลือดเต่ามังกรอมฤตสวรรค์) ทวีปประจิม

5. ตระกูลหยาง (สายเลือดมังกรสุริยันกระจ่างฟ้า) ทวีปมัชฌิม

6. ตระกูลเซียว (สายเลือด-) ทวีปบูรพา

7. ตระกูลเสวี่ย (สายเลือดหงสาเหมันต์เมฆาจรัสนภา) ทวีปอุดร

8. ตระกูลเฉา (สายเลือด-)

9. ตระกูลหลิน ทวีปอุดร

10.

สถานที่สำคัญในวังเมฆาโอสถ

-วังเมฆากลางฟ้า

-วิหารแห่งโอสถ

-วิหารแห่งศัสตรา

-สวนสมุนไพร จวนสมุนไพร

-ป่าอสูร

-ลานผนึกอัคคีสวรรค์

ระดับตำนานมายา

ลมปราณสวรรค์-มหาสวรรค์

เขตขั้นต้น-กลาง-ปลาย

จ้าวนภาขั้นสุดหรือครึ่งก้าว

1-2 อ่อนด้อย

1

1-3

2

3-5

3

5-7

4

7-9

5

9-ขั้นสุด-ครึ่งก้าว

6

มหาสวรรค์ 1-3

7

มหาสวรรค์ 3-5

8

มหาสวรรค์ 5-7

9

มหาสวรรค์ 7-9

ร่างแยกของมหาพฤกษารัตนจิตบรรพกาล (อาจารย์ใหญ่ เฟินฝู)

1.เสี่ยวอี

2. เสี่ยวเอ้อร์ : ร่างในป่าสมุนไพร

3. เสี่ยวซาน

4. เสี่ยวซื่อ : ร่างที่อยู่ในโบราณอัสนีมารทมิฬโลหิต

5. เสี่ยวอู่ : ร่างที่ประจำสถานศึกษาเมฆาสวรรค์

6. เสี่ยวลิ่ว : ร่างในสถานศึกษาพงไพรบูรพา

7. เสี่ยวชี

8. เสี่ยวปา

9. เสี่ยวจิ่ว : ผู้นำตระกูลจิ่ว ตระกูลบรรพกาลระดับสูงแห่งทะเลสาบจันทรามรกต

ทำเนียบมังกรบรรพกาล 19 เผ่า ร่วมก่อตั้ง ภาคีมังกรสวรรค์

สายเลือดมังกร มีทั้งหมดเจ็ดเขตขั้นดังนี้ โดยเริ่มจาก มังกรผสม มังกรแท้ ราชามังกร ราชันมังกร จักรพรรดิมังกร มังกรเทวะ และมังกรสวรรค์ แต่ละขั้นมีแยกเป็นต้น กลาง และปลาย

ลำดับ และชื่อเผ่าพันธุ์

รายละเอียด

        1. 5. มังกรพยัคฆ์ขาวเหมันต์ 6. มังกรสุริยันกระจ่างฟ้า 7. มังกรครามดารา 8. 9. มังกรครามดาราสมุทร 10. มังกรมรกตสวรรค์สายเลือดต้นกำเนิดของอสรพิษมังกรมรกตสวรรค์แห่งมหาพงไพรหมื่นอสูรนิรันดร์ ทวีปประจิม11. 12. 13. มังกรเพลิงทิวาเกล็ดมรกตมหาสวรรค์แห่งนครหลวงอนธการนิรันดร์14. มังกรอัคนีครามบรรพกาล43415. มังกรอสูรฟ้าบรรพกาล (ทวีปประจิม) 16. 17. 18. 19.

บัวเพลิงสัตตบงกชแดง

พิษเพลิงเบญจมาศม่วง

เพลิงใบบัววิญญาณมรกต

แผนที่อาณาจักรวิหคสวรรค์

แผนที่ของทวีปกลางตอนเหนือ

หลบหนีการไล่ล่า

บทที่ 2 หลบหนีการไล่ล่า

คมกระบี่และศาสตราวุธต่าง ๆ ที่คนสวมชุดดำใช้มีหลากหลายรูปแบบ พลังปราณที่ปลดปล่อยและจิตสังหารที่แผ่พุ่งมาสะกดข่มชาวบ้านที่อยู่ใกล้จนแทบไร้ซึ่งสติประคองตัวเอง ชาวบ้านที่อยู่ห่างออกไปต่างวิ่งหนีตายกันอย่างหวาดกลัว ผืนนาในตอนนี้เจิ่งนองไปด้วยซากศพ และน้ำแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือด

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฆ่ามันให้หมด"

เสียงหัวเราะแหลมดังลั่นจากหนึ่งในกลุ่มของคนสวมชุดดำ มือถือดาบขนาดใหญ่ฟาดฟันร่างของชาวบ้านที่ยืนขาสั่นอย่างไร้สติควบคุมร่างกายด้วยความสนุกสนาน

เหล่าคนสวมชุดดำได้ควบม้ามาจนถึงภายในหมู่บ้าน พลังปราณก็แผ่พุ่งอย่างหนาแน่นเมื่อผู้ฝึกยุทธกว่าสิบคนปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน วิชาตัวเบาส่งร่างของพวกมันทะยานตรงเข้าไปยังบ้านแต่ละหลัง ใช้เพียงหนึ่งฝ่ามือที่อัดแน่นด้วยพลังปราณก็สามารถทำลายบ้านที่สร้างจากไม้อย่างง่าย ๆ ให้พังลงได้อย่างไม่ยากเย็นอันใด หากบ้านไหนมีคนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ หากไม่ถูกซากบ้านทับก็จะต้องตายด้วยคมของศาสตราวุธ การกระทำของพวกมันไม่แตกต่างอันใดกับมารหรือปีศาจกระหายเลือดเลยแม้แต่น้อย

"เจ้าเฒ่านั่นมันอยู่ที่ไหนกันแน่…หาจนทั่วแล้วก็ยังไม่เจอ" หนึ่งในคนชุดดำเอ่ยขึ้น

"ถูกพิษระดับเจ็ดของอาจารย์ข้าเข้าไปเต็ม ๆ แบบนั้น คงไปไหนไม่ได้ไกลหรอก" หญิงสาวในชุดดำเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

"นี่ก็หาทั้งหมู่บ้านแล้ว ทำไมยังไม่เจอมันอีก!" หนึ่งในคนชุดดำเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย พวกเขาค้นและทำลายบ้านทุกหลังแล้วก็ยังไม่พบร่างของชายชราเลย

"หืม…ข้าได้กลิ่นการต้มยาสมุนไพรลอยมาจากทางท้ายหมู่บ้าน" หนึ่งในคนชุดดำเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งยกพัดสีสันแปลกตาขึ้นมาพัดเบา ๆ กลิ่นอ่อนจางของการต้มยาสมุนไพรลอยมาแตะจมูกของเขา การที่เขาเป็นนักปรุงโอสถจึงทำให้ตัวเขามีความคุ้นชินกับกลิ่นของสมุนไพรแม้มันจะอ่อนจางมากแล้วก็ตาม

"ไป!!!" ชายกำยำตะโกนออกคำสั่ง พลังปราณแผ่กระจายออกมาพร้อมด้วยวิชาตัวเบาพุ่งทะยานตรงไปยังท้ายหมู่บ้านในทันที

สายลมแรงพัดโหมกระหน่ำไปทั่วทั้งผืนป่า หยาดน้ำฝนเริ่มไหลรินลงมาจากฟ้า และใช้เวลาไม่นานนักก็กลายเป็นเม็ดฝนห่าใหญ่ตกลงมา แสงไฟจากตะเกียงส่องสว่างออกมาจากบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ที่อยู่บริเวณชายป่าท้ายหมู่บ้าน กลิ่นของน้ำแกงหน่อไม้หวานโชยลอยไปตามลมชวนให้อยากอาหาร

"หยางชุน…หยางชุน….หนีเร็วลูก!!" เสียงตะโกนของผู้หญิงดังแว่วมาตามลม เด็กหนุ่มที่กำลังเคี่ยวน้ำแกงเงยหน้าขึ้นมาจากเตา ก่อนจะทอดสายตาออกไปมองทางดินเล็ก ๆ ที่ถูกถางตัดเข้าตัวบ้าน ร่างเงาของคนสองคนปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของหยางชุน เด็กหนุ่มจดจำลักษณะของคนทั้งสองได้ดีเลยทีเดียว เพราะทั้งคู่คือพ่อและแม่ของตนเอง

"ท่านพ่อ ท่านแม่….วันนี้ข้าได้หน่อไม้หวาน…" หยางชุนที่กำลังตะโกนบอกพ่อกับแม่ของตนเองว่าวันนี้เขาได้หน่อไม้หวานหัวใหญ่มา พวกท่านทั้งสองจะต้องดีใจอย่างแน่นอน แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบประโยค ก็ปรากฏร่างเงาของคนกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามาด้านหลังของพ่อกับแม่เขาในทันที แสงสว่างส่องกระทบกับคมกระบี่ของหนึ่งในคนชุดดำ หยางชุนเห็นดังนั้นทั่วทั้งตัวก็เกิดการสั่นอย่างรุนแรง มือเท้าชาเย็นเยือกจนแทบยืนไม่อยู่ หัวใจคล้ายกับถูกบีบจนจุกแน่นไปทั่วอก

เชือด!! เชือด!!

อ๊ากก!! อ๊ากก!!

เสียงของคมกระบี่เชือดเฉือนลงบนเนื้อของคนทั้งสอง โลหิตสีแดงสาดกระจายไปทั่วพื้น เพียงสิ้นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างของคนทั้งสองก็ทรุดราบลงกับพื้นในทันที เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนหยางชุนไม่อาจจะได้ขยับตัว แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับบันทึกภาพที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ และมันคงจะติดตรึงลงไปในจิตใจของเขาไปตลอดชีวิต

"เข้าไปเอาตัวมันมา ข้าได้กลิ่นพิษจากด้านใน" ชายถือพัดเอ่ยขึ้นเพื่อออกคำสั่ง กลิ่นพิษอันเป็นเอกลักษณ์แม้จะอ่อนจางเพียงใดเขาก็ได้กลิ่นของมัน และตาเฒ่านั่นต้องอยู่ด้านในไม่ผิดแน่

คนชุดดำสามคนขับเคลื่อนโคจรพลังปราณไปที่เท้าทั้งสองก่อนจะกระโจนตรงเข้าสู่ตัวบ้าน ดาบขนาดใหญ่ยกขึ้นสูงเตรียมที่จะฟาดลงมาที่ร่างของหยางชุนหมายจะสังหารเด็กหนุ่ม

"ข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้เจ้าตายตามพ่อกับแม่ของเจ้าเอง!" หนึ่งในคนชุดดำเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขบขันเล็กน้อยแล้วเตรียมที่จะฟาดดาบขนาดใหญ่ลงมา

ครืนน!!!

อัก!!!

ในขณะที่ดาบใหญ่กำลังจะฟาดลงมาบนตัวของหยางชุน คลื่นพลังปราณอันเข้มข้นก็พุ่งทะยานมาจากด้านหลังของเด็กหนุ่ม ลมปราณก่อรูปร่างอัดแน่นจนกลายเป็นรูปของฝ่ามือ ซัดร่างของชายถือดาบให้กระเด็นหงายหลังไปหลายเมตร พร้อมกับเลือดก้อนโตที่ทะลักออกมาจากปาก หนึ่งฝ่ามือปกติแม้ไม่ถึงตายถ้าสามารถป้องกัน แต่นับภาษาอะไรกับคนที่ไม่แม้แต่จะระวังตัว อวัยวะภายในทั้งหมดของชายคนนั้นแหลกเหลวไปในทันที

"หนีเร็วเจ้าหนู!!!"

ร่างของชายชราปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของหยางชุน มือซ้ายของเขาคว้าจับเสื้อของหยางชุนไว้แน่นก่อนจะรีดเร้นพลังปราณในกายโคจรไปตามจุดชีพจรทั่วร่างแล้วกระโจนขึ้นยอดไม้ในทันที เคล็ดวิชาตัวเบาของชายชราคนนี้นับว่าสูงอย่างยิ่ง แม้เพียงฝีเท้าที่เหยียบย่ำลงไปบนยอดไม้ยังไม่อาจทำให้ใบไม้ขยับจนเกิดเสียงขึ้นเลยแม้แต่นิด หากเป็นเวลาปกติของชายชราคงทะยานขึ้นฟ้าเหยียบเมฆาไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในตอนนี้ร่างกายเกือบครึ่งของเขาถูกพิษแพร่กระจายจนไม่อาจโคจรพลังปราณได้มากนัก ทำได้เพียงเท่านั้นก็นับว่าหักโหมแล้ว

"ตามมันไปเร็วอย่าให้มันหนีรอดไปได้ คัมภีร์เล่มนั้นจะต้องอยู่ที่มันอย่างแน่นอน!!!" ชายร่างกำยำตะโกนออกคำสั่งอย่างร้อนใจ ก่อนจะดีดตัวทะยานขึ้นฟ้า แล้วใช้ออกด้วยวิชาตัวเบาประจำสำนักของตนเอง เขาไม่อยากที่จะคาดสายตาจากตาเฒ่าคนนี้แม้แต่วินาทีเดียว เคล็ดวิชาตัวเบาที่ตาเฒ่าคนนี้ฝึกฝนนับว่าอยู่ในอันดับต้นของแผ่นดิน หากตอนนี้ตาเฒ่านั่นไม่ถูกพิษละก็ คงไม่มีทางที่พวกเขาคนใดไล่ตามทันอย่างแน่นอน

"ฮืออออ ท่านพ่อ ท่านแม่…." เด็กหนุ่มกลับได้สติมา ก็เสียงร้องร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้าดังขึ้นมาจากร่างอันสั่นคลอนของเด็กหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนของชายชรา หัวใจของหยางชุนเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบจะสูญสลาย ภาพการจากไปอย่างเร่งด่วนของผู้เป็นดั่งดวงใจของเขาที่เพิ่งจะเกิดขึ้นอย่างไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวหรือเต็มใจใด ๆ ทำให้สติของหยางชุน เด็กหนุ่มที่ในชีวิตแทบจะไม่เคยพบเรื่องเศร้าใด ๆ เริ่มเลือนรางและไม่อาจควบคุมได้ ปากร่ำร้องเรียกหาท่านพ่อกับท่านแม่ของตนเองไม่ขาด ปะปนไปกับเสียงสะอื้นของความโศกเศร้าอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัส

"หุบปากของเจ้าบ้างเจ้าหนู เสียงดังขนาดนี้เดี๋ยวพวกมันก็หาพวกเราเจอง่าย ๆ หรอก" ชายชราเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่ก็คล้ายกับสะกดข่มความเจ็บปวดเอาไว้ส่วนหนึ่ง ยิ่งโคจรพลังลมปราณความรุนแรงของพิษที่แฝงอยู่ในร่างกายก็ยิ่งแพร่กระจายได้เร็วมากขึ้น เคล็ดวิชาตัวเบาของชายชราเป็นเคล็ดวิชาระดับล้ำค่าที่หาได้ยากในแผ่นดินนี้ เท้าเหยียบยอดไม้ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมายังไม่อาจทำให้ยอดของมันสั่นไหวได้เลยแม้แต่น้อย ความมืดและม่านสายฝนคล้ายจะเป็นเครื่องอำพรางตำแหน่งได้เป็นอย่างดี ระยะของชายชรากับกลุ่มคนชุดดำเว้นกันอยู่หลายร้อยเมตร เขาเกรงว่าเสียงร้องไห้ของเจ้าหนูนี่จะทำให้คนเหล่านั้นระบุตำแหน่งของเขาได้นั่นเอง

"ฮืออออ ปล่อยข้า ปล่อย!!! ข้าจะกลับไปหาท่านพ่อท่านแม่!!" หยางชุนคล้ายขาดสติ เนื่องจากความเสียใจ ส่งเสียงร้องตะโกนพร้อมทั้งพยายามดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมแขนของชายชรา แต่พละกำลังของผู้ฝึกตนแม้จะเป็นเพียงชายชราก็แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาหลายส่วน แขนที่โอบอุ้มหยางชุนเอาไว้ไม่ต่างอันใดกับถูกท่อนซุงขนาดใหญ่ทับเอาไว้ หยางชุนไม่อาจขยับตัวออกจากแขนของชายชราได้เลย

"หุบปากของเจ้าซะเจ้าหนู พ่อกับแม่ของเจ้าตายแล้ว อย่าให้ความพยายามของพวกเขาต้องสูญเปล่า เจ้ากลับไปก็มีแต่ตายอย่างเดียว พวกมันไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่…" ชายชราเค้นเสียงแข็งพูดกับเด็กหนุ่ม แรงขัดขืนที่มีอยู่เมื่อครู่ค่อย ๆ ลดลงในทันทีแล้วจึงแน่นิ่งไป หวังว่าคำพูดของเขาคงพอจะเตือนสติของเด็กหนุ่มคนนี้ได้บ้าง เขารู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะทำใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ แต่ในตอนนี้ การหนีจากการไล่ล่านี้นั้นสำคัญที่สุด

"ให้…ให้ข้าตายตามพวกท่านไปเถอะ ฮึก ฮึก" เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แฝงไปด้วยความเจ็บปวดและความโศกเศร้าสุดประมาณ เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยว่าการที่ไม่มีท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ในชีวิตนั้นจะเป็นอย่างไร ต่อไปนี้เขาจะอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ได้หรือไม่ แต่ทันทีที่เด็กหนุ่มเอ่ยสิ้นสุดประโยคตัดพ้อ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นคล้ายกับจะฉุดกระชากเด็กหนุ่มให้ออกจากห้วงทะเลทุกข์

"เจ้าเด็กอกตัญญู!!! พ่อกับแม่ของเจ้าถูกผู้อื่นฆ่าตาย เจ้าไม่เพียงคิดอยากจะแก้แค้นให้พวกท่าน แต่กลับอยากละทิ้งชีวิตที่พ่อกับแม่เจ้าปกป้องแลกด้วยชีวิตของทั้งสองให้สูญเปล่าไปเช่นนั้นหรือ!!!" ชายชราตวาดกร้าวเสียงดังจนเด็กหนุ่มสะดุ้งด้วยความตกใจ แต่ก็กลับได้สติขึ้นมาเสียอย่างนั้น คำกล่าวของชายชราทำให้ห้วงความเศร้าของเด็กหนุ่มมลายหายไปอย่างช้าๆ เขาจะตายได้อย่างไร ในเมื่อความแค้นที่พ่อกับแม่ถูกฆ่าตายยังไม่อาจชำระสะสางเลยแม้แต่น้อย

ชายชราเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนไป จากที่เคยโศกเศร้าเสียใจ ในยามนี้กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแววตาอันเดือดดาล เปลวเพลิงแห่งความแค้นจะเป็นพลังให้กับเด็กหนุ่มคนนี้ได้ก้าวเดินต่อไปและไม่ทิ้งชีวิตของตนเองลงง่าย ๆ

"เจ้าเฒ่า!! ส่งคัมภีร์มา!!" เสียงตวาดดังลั่นขึ้นที่ด้านหลังของคนทั้งสอง ร่างของคนชุดดำนับสิบที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของชายชรา

หลังจากที่หลบลี้หนีการไล่ล่าของพวกคนชุดดำมานาน ก็ทำให้ชายชราพอจะรู้ได้ว่าคนทั้งหมดมีฝีมืออยู่ในระดับใดหรือมากน้อยเพียงใด ในบรรดากลุ่มคนเหล่านี้ คนที่มีพลังยุทธหรือพลังลมปราณที่เข้มแข็งและหนักแน่นที่สุด มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น และหลังจากที่ประมือกันมานับครั้งไม่ถ้วนตลอดเวลาที่หลบหนีนั้น ทำให้ชายชราค่อนข้างแน่ใจว่าคนพวกนี้มาจากสำนักใหญ่ของฝ่ายธรรมะอย่างแน่นอน ตัวเขาเองแม้ว่าไม่มีพลังฝีมือทางด้านการต่อสู้มากนัก แต่ก็ถือว่าโลดแล่นในยุทธภพมานานไฉนเลยจะมองวิชาของพวกมันไม่ออก พวกมันต่างก็อยากแย่งชิงคัมภีร์ยุทธที่เขาครอบครองอยู่กันทั้งนั้น

"กำยานปลุกอสูร!!!!"

คัมภีร์ปราณอสูรกลืนนภา

บทที่ 3 คัมภีร์ปราณอสูรกลืนนภา

"กำยานปลุกอสูร"

แหวนมิติบนนิ้วของชายชราเรืองแสงออกมาเล็กน้อยก็ปรากฏถุงผ้าใบหนึ่งขึ้นบนมือของเขา หยางชุนลอบมองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแหวนมิติ มันเป็นของที่ไม่ได้หาได้ยากมากนัก แต่ก็มีราคาแพงเกินกว่าที่ชาวบ้านธรรมดาจะได้ครอบครองมัน และนี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาได้เห็นผู้ฝึกตนหรือจอมยุทธตัวเป็น ๆ เช่นนี้ ทั้งชีวิตของหยางชุนก็อาศัยอยู่เพียงแต่ในหมู่บ้านและเที่ยวเล่นในป่าเท่านั้น แม้แต่เมืองที่อยู่ใกล้ ๆ ชายป่า ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยได้ไปเลยสักครั้ง

พรืด!!!

ชายชราโยนถุงที่เรียกออกมาจากแหวนมิติออกไปด้านหลังก่อนที่จะซัดพลังลมปราณไปกระแทกใส่มัน และทันทีที่ถุงนั้นฉีกออก ผงกำยานบางอย่างที่มีสีแดงสดก็ฟุ้งกระจายออกไปรอบ ๆ บริเวณกินอาณาเขตหลายสิบเมตรแพร่กระจายดุจควันไฟลามทุ่งแม้ในยามที่ฝนตกหนักเช่นนี้ เหล่าคนชุดดำที่กำลังทะยานตัวเองเข้ามาใกล้ก็รีบหยุดชะงักในทันที

"นั่นอะไร!!" เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นเมื่อเห็นความไม่ชอบมาพากลของควันสีแดงสด

"เจ้าเป็นถึงนักปรุงโอสถดูไม่ออกหรืออย่างไร" หญิงสาวจากสำนักพิรุณเยือกแข็งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยเล็กน้อย ชายหนุ่มจากตำหนักร้อยบุปผา ที่ขึ้นชื่อเรื่องการปรุงยาเป็นอันดับต้น ๆ ของดินแดน

"ชิ…ข้ารู้แค่ว่ามันเป็นกำยานบางอย่าง แต่ผลของมันเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับผู้ปรุงเอง" ชายหนุ่มเอ่ยตอบอย่างไม่พอใจ แม้ว่าเขาจะเป็นนักปรุงโอสถ แต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าในผงกำยานนี้มีฤทธิ์อย่างไร นั่นก็ขึ้นอยู่กับผู้ปรุงว่าใช้วัตถุดิบอะไรในการปรุงนั่นเอง

"อย่ามั่วแต่กัดกันเองจัดการมันซะ!" ชายร่างกำยำตวาดกร้าวเสียงดังอย่างออกคำสั่ง และแม้ว่าทุกคนจะไม่พอใจแต่ภาพเบื้องหน้าในตอนนี้คือชายชรากำลังจะหนีอีกครั้งแล้ว

ร่างของทุกคนพุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้าด้วยเคล็ดวิชาตัวเบาประจำสำนักฝ่าควันสีแดงตรงไปเบื้องหน้า ทุกยกแขนเสื้อขึ้นมาบังจมูกของตนเองเอาไว้ แต่เมื่อรู้ว่าควันสีแดงไม่ได้ส่งผลอะไรกับตนเองก็พุ่งทะยานไปอย่างสุดกำลัง ท่ามกลางควันสีแดงคมกระบี่สีฟ้าอ่อนนับสิบเส้นก็ถูกฟาดออกมาจากปลายกระบี่สีขาวนวล

วิ้งค์!! วิ้งค์!! วิ้งค์!! วิ้งค์!! วิ้งค์!!

คลื่นกระบี่แหวกผ่านควันสีแดงสดพุ่งตรงออกไปเบื้องหน้า ความรุนแรงและพลังของมันแหวกผ่านตัดอากาศจนเกิดเสียงคมกระบี่นี้เกิดจากการบีบอัดพลังปราณเข้าไปที่กระบี่แล้วปลดปล่อยออกมา อาจจะเรียกว่าเป็นรังสีกระบี่ก็ได้เช่นกัน วิชาเช่นนี้เป็นวิชาถนัดของสำนักกระบี่สวรรค์ สำนักที่เน้นการฝึกฝนและควบคุมกระบี่มาหลายร้อยปีและก้าวเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่ทั้งห้าได้

"ฝ่ามือภูตวิญญาณ!!" หวืดด!!!

ชายชราหมุนตัวตวัดกลับแล้วใช้มือข้างหนึ่งรวบรวมพลังจากผ่านจุดชีพจรจากมหาสมุทรพลังปราณเข้าสู่ฝ่ามือแล้วใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาฝ่ามือภูตวิญญาณ ลมปราณแผ่พุ่งออกจากฝ่ามือออกไปเบื้องหน้า ความหนาแน่นของพลังปราณรวมตัวกันจนกลายเป็นสีน้ำเงินอมดำก่อรูปร่างคล้ายกับวิญญาณนับสิบตนตรงเข้าปะทะกับรังสีกระบี่ที่พุ่งทะยานเข้ามา

ตู้ม!! ตู้ม!! ตู้ม!! ตู้ม!!

เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปเคล้าไปกับเสียงของสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ฝ่ามือภูตวิญญาณของผู้อาวุสโสท่านนี้นับว่าไม่ธรรมดา แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บภายในและถูกพิษน้ำแข็งของสำนักพิรุณเยือกแข็งก็ตาม เคล็ดวิขาฝ่ามือนี้คล้ายกับยังคงความน่าเกรงขามเอาไว้หลายส่วนกลับสามารถต้านรับรังสีกระบี่ของศิษย์แถวหน้าของสำนักกระบี่สวรรค์ได้ สีหน้าของชายหนุ่มจากสำนักกระบี่สวรรค์เคร่งเครียดขึ้นในทันที เดิมก็ไม่คิดว่ารังสีกระบี่ของตนจะสามารถสังหารอาวุสพรรคมารคนนี้ลงได้ เพียงชะลอหรือถ่วงเวลาเอาไว้ได้ก็มากเพียงพอแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าจะสามารถทำลายรังสีกระบี่ของตนลงได้ทั้งหมดเช่นนี้ แม้ต้องพิษเย็นแต่คล้ายพลังฝีมือไม่ลดลงเลย

หลังจากใช้ออกด้วยพลังฝ่ามือประจำกายแล้ว ชายชราก็สะบัดตัวดีดเท้าใช้ออกด้วยวิชาตัวเบาอันเลื่องชื่อทะยานตรงไปเบื้องหน้าในทันที พลังลมปราณที่ใช้ออกเมื่อครู่แลกมาด้วยการที่พิษเย็นแผ่กระจายตัวอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น อุณหภูมิในร่างกายของชายชราลดลงอย่างรวดเร็วจนหยางชุนที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นรู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของชายชรา

โฮกกก!!!! กรรร!!!!

เสียงร้องคำรามอันเกรี้ยวกราดของสัตว์อสูรดังกึกก้องไปทั่วทั้งผืนป่า กระแสพลังปราณในอากาศถึงกับสั่นหวั่นจากผลกระทบนั้น ต้นไม้ภายในป่ากลับโยกไหวไปมาอย่างรุนแรง บางต้นถึงกลับหักโค่นลงเลยก็มี สัตว์อสูรจำนวนนับสิบพุ่งทะยานจากผืนป่าขึ้นสู่ท้องฟ้า สัตว์อสูรที่มีปีก นับหลายสิบตัวที่มีพลังอยู่ในระดับปฐพีไปจนถึงระดับจิตภูตเป็นอย่างน้อย ต่างตกอยู่ในสภาวะบ้าคลั่งกำลังจับจ้องมายังเหล่าคนชุดดำที่ในตอนนี้อยู่ในอาการแตกตื่นรนราน

"เจ้าพวกนี้มันมาจากไหนกัน!!!" หนึ่งเสียงเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นตกใจ สัตว์อสูรหลายสิบปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน

"พวกมันกำลังอยู่ในสภาวะบ้าคลั่งอย่างมาก นี่มันอะไรกันแน่!!" ชายร่างกำยำจากสำนักมังกรคู่เอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเอง ป่าแห่งนี้แม้มีสัตว์อสูรอยู่มาก แต่มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกมันจะปรากฏตัวออกมาพร้อมกันเช่นนี้ และยิ่งสัตว์อสูรระดับจิตภูตที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าแล้ว มันไม่ควรจะออกมาในบริเวณนี้เลยด้วยซ้ำไป ด้วยระดับการบ่มเพาะของคนทั้งคนชุดดำ หากนับเพียงคนที่มีระดับการบ่มเพาะสูงสุดในกลุ่ม คงมีเพียงห้าคนที่เป็นตัวแทนหลักของห้าสำนักใหญ่เท่านั้นที่พอจะรับมือกับสัตว์อสูรระดับจิตภูติได้ แต่ด้วยจำนวนที่มากมายเช่นนี้คงเป็นเรื่องยากอย่างแน่นอน เพราะไม่เพียงแต่สัตว์อสูรบนอากาศเท่านั้น ภายในผืนป่าเบื้องล่างก็มีความเคลื่อนไหวที่รุนแรงเช่นกัน

"หรือว่าเป็นเพราะผงกำยานนั่น!" ชายหนุ่มที่เป็นนักปรุงยาจากตำหนักร้อยบุปผาตะโกนขึ้นมาอย่างลืมตัว เมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของตนเอง อยู่ดี ๆ สัตว์อสูรเหล่านี้จะเกิดอาการบ้าคลั่งขึ้นมาได้อย่างไรกัน มันจะต้องเป็นเพราะผงกำยานสีแดงสดของเจ้าเฒ่านั่นอย่างแน่นอน เจ้าเฒ่าพรรคมารคนนี้เองก็มีชื่อเสียงในด้านการปรุงโอสถอยู่ไม่น้อย คงไม่แปลกเป็นแน่ถ้ามันจะสามารถทำกำยานนี้ขึ้นมาได้

โฮก!!!!

สัตว์อสูรขนาดใหญ่บินทะยานตรงมายังคนชุดดำ พร้อมทั้งส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง แรงกดดันจากจิตสังหารสะกดข่มพวกเขาบางคนให้ไม่อาจขยับตัว สัตว์ที่คลั่งพวกนี้นอกจากจะจู่โจมกันเองแล้ว ยังมองพวกเขาว่าเป็นศัตรู เปลวเพลิงอันรุนแรงถูกปลดปล่อยออกมาจากปากตรงเข้าแผดเผาร่างของกลุ่มคนชุดดำ

"แส้วารีไหล!" หญิงสาวเรียกศาสตราวุธออกมาจากแหวนมิติ ด้ามโลหะสีเงินสลักเป็นลายสายน้ำอันงดงาม หญิงสาวถ่ายเทพลังลมปราณภายในกายตรงเข้าสู่อาวุธของตนเอง ลมปราณที่พุ่งออกมาจากด้ามโลหะก่อรูปร่างเป็นแส้สีฟ้าปลดปล่อยกลิ่นอายของสายน้ำออกมา หญิงสาวโบกสะบัดฟาดแส้ออกไปเบื้องหน้าเพื่อสร้างเป็นกำแพงต้านรับเปลวเพลิง คนที่มีไหวพริบต่างก็ใช้ออกด้วยวิชาตัวเบามาหลบอยู่ด้านหลังของหญิงสาว ระดับการบ่มเพาะพลังของพวกเขาสูงพอที่จะไม่ถูกสัตว์อสูรสะกดข่มเอาไว้ จึงสามารถขยับตัวหนีได้อย่างทันท่วงที

อ๊ากกก

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานดังออกมาจากเหล่าคนชุดดำที่ไม่อาจขยับตัวหลบเปลวเพลิงอันร้อนแรงได้ทัน ก็ถูกเพลิงนั้นแผดเผาจนตายร่วงหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่าง ที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรที่บ้าคลั่งรุมกัดกินร่างจนไม่เหลือแม้แต่ซาก

"พวกเราถอยก่อนค่อยวางแผนกันใหม่!" ชายร่างกำยำตะโกนออกคำสั่งขึ้นเสียงดัง สีหน้าของคนที่เหลือคล้ายกับจะไม่พอใจที่ชายคนนี้ทำตัวเป็นหัวหน้าขึ้นเสียงออกคำสั่งในทุกครั้ง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำสั่งของชายกำยำนั้นถูกต้องที่สุด แม้พวกเขาจะสามารถรับมือกับสัตว์อสูรระดับจิตภูตได้ แต่ด้วยจำนวนที่มากมายขนาดนี้ พวกเขาคงสิ้นเปลืองกำลังกายและกำลังภายในไม่น้อย พื้นที่เบื้องหน้าคือภูเขาขนาดใหญ่หนึ่งลูก และถัดไปก็เป็นเมืองหมอกฟ้าหากพวกเขาสามารถเฝ้าล้อมภูเขาเอาไว้ หรือไปดักรอที่เมือง ไม่ว่ายังไง ก็คงสามารถจับตัวเจ้าเฒ่านั่นได้อย่างแน่นอน

สองเท้าของชายชราที่ใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาตัวเบาประจำตัวของตนเองก้าวอย่างรวดเร็วไปตามยอดไม้ในป่า หลังจากที่เขาใช้กำยานปลุกอสูรที่มีผลทำให้เหล่าอสูรที่สูดควันสีแดงสดของกำยานเข้าไป ตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งเป็นเวลาสิบสองชั่วยาม ชายชราก็โรยกำยานสีดำไว้บนตัวของเขาเพื่อกลบกลิ่นอายของตนเองเพื่ออำพรางการรับสัมผัสจากสัตว์อสูร ผงกำยานพวกนี้นับว่าปรุงขึ้นมาได้ยากระดับหนึ่ง นอกจากตัววัตถุดิบจะหายากแล้ว กรรมวิธีการปรุงก็ยากมากเช่นกัน เขาจะใช้มันแค่ในตอนที่จำเป็นมากเท่านั้น และในตอนนี้ก็เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาหลุดพ้นจากการไล่ล่าได้ระยะเวลาหนึ่ง

สองเท้าขับเคลื่อนด้วยลมปราณใช้ออกด้วยวิชาตัวเบาพุ่งทะยานไปตามยอดไม้ ใช้เวลาสักพักใหญ่ก็ไต่ขึ้นตามหน้าผาสูงของยอดเขาที่ตั้งตระหง่านเป็นสง่าท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ เคล็ดวิชาตัวเบาของชายชราสูงส่งอย่างยิ่ง แม้แบกร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งก็สามารถก้าวเท้าไต่หน้าผาชันได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่นานนักก็สามารถมาถึงยอดเขาสูงได้ เบื้องหน้าปรากฏลานโล่งและโพรงถ้ำขนาดเล็กอยู่ สองเท้าที่แก่ชราทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

"ผู้อาวุสโส!" หยางชุนตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เนื้อตัวของชายชราเย็นลงอย่างรวดเร็ว สีปากเริ่มกลายเป็นสีม่วงคล้ำ เมื่อครู่ในการไต่ยอดเขาขึ้นมาทำให้ชายชราใช้ออกด้วยพลังลมปราณมิใช่น้อย ทำให้พิษเย็นที่โดนนั้นแพร่กระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น เด็กหนุ่มรีบประคองชายชราตรงเข้าไปยังโพรงถ้ำเบื้องหน้า และโชคดีที่ภายในถ้ำนั้นมีเศษกิ่งไม้แห้งอยู่เป็นจำนวนมาก หยางชุนจึงสามารถก่อกองไฟขึ้นมาได้

หยางชุนนั้นไม่ได้มีความรู้เรื่องการฝึกยุทธ หรือการเดินลมปราณใดๆเลยแม้แต่น้อย เขาเองก็ไม่ทราบว่าพิษที่ชายชราโดนอยู่นั้นร้ายแรงเพียงใด แต่เนื่องจากตัวของชายชรานั้นเย็นลงราวกับศพ แต่ก็ยังมีลมหายใจ ดังนั้นเขาคิดว่าความอบอุ่นจากกองไฟคงจะพอช่วยได้บ้าง

ลมหนาวพัดโชยเข้ามาภายในถ้ำ เปลวไฟกองเล็กภายในถ้ำพริ้วไหวไปมาราวกับจะมอดดับลงไป ภาพของเด็กหนุ่มที่นั่งกอดเข่าจับจ้องกองไฟคล้ายกับจะระลึกถึงสิ่งต่างๆ ภาพอดีตสะท้อนออกมาจากเปลวไฟราวกับมายามนตร์ที่น่าอัศจรรย์ เหตุการณ์ที่ทุกที่เกิดขึ้นในวันนี้ราวกับเป็นภาพแห่งความฝันที่หยางชุนไม่อยากให้เกิดขึ้นจริง

ดวงตาของเด็กหนุ่มปิดลงพร้อมทั้งพาสติอันพร่าเลือนเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา เวลาได้หมุนเลยผ่านไปพร้อมกับกองไฟที่ค่อยๆมอดลงอย่างช้าๆ แม้แต่ในความฝันของเด็กหนุ่ม ภาพของเรื่องราวอันน่าสยดสยองและน่าโศกเศร้าก็ยังคงตามมาฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"ท่านแม่…ท่านพ่อ…ไม่…ไม่!!!" เสียงโวยวายของเด็กดังขึ้นท่ามกลางเสียงขับขานของวิหคในยามเช้า สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในโพรงถ้ำเล็กนำกลิ่นอายสดชื่นหลังฝนตก ร่างของเด็กน้อยสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ

"ตื่นแล้วหรือเจ้าหนู" เสียงอันแหบพร่าของชายชราดังขึ้น หยางชุนหันไปมองก็พบท่าทีอันอิดโรยของชายชราที่นั่งชันเข่าอยู่ใกล้กับกองไฟร่างกายบางส่วนของชายชราเริ่มซีดจนบางส่วนเริ่มเป็นสีม่วง สภาพของเขาดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่เลย

"เดิมทีข้าคิดว่ามันจะเป็นเพียงแค่ฝันร้าย…แต่พอตื่นขึ้นมาเห็นท่านมันก็ไม่ใช่เสียแล้ว…" เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาพร้อมสีหน้าที่โศกเศร้าลงในทันที คนอย่างเขาไม่ใช่คนที่จะยอมรับความจริงไม่ได้ แต่สำหรับเรื่องนี้มันคงจะเร็วเกินไป ทั้งชีวิตนี้แทบจะไม่เคยประสบพบเจอเรื่องร้ายใด ๆ และอยู่อย่างสงบตลอดมา ชายชราเห็นท่าทีของเด็กหนุ่มก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างเต็มหัวใจ ชายชราขยับตัวอย่างทุลักทุเลขึ้นมานั่งคุกเข่าแล้วก้มหัวลงกับพื้น

"ข้าต้องขอโทษกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าด้วย…" ชายชราเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและสั่นเครือเล็กน้อย

"ผู้…ผู้อาวุสโสท่านทำอะไร" หยางชุนรีบตรงเข้าไปประคองให้ชายชราลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นชายชราก้มหัวเอ่ยคำขอโทษตนเอง ชายชราค่อยๆ กลับมานั่งเหมือนอย่างเคยด้วยท่าทีอ้อนล้า

"เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นก็เพราะข้า…." ชายชราเอ่ยออกมาก่อนจะเงียบไปแล้วแหงนหน้าเหม่อมองเพดานถ้ำ น้ำตาหนึ่งหยดที่ไม่เคยไหลมากว่าห้าสิบปีก็ปรากฏขึ้นจากความรู้สึกผิดอันท้วมท้น แม้ตนจะสังกัดอยู่พรรคมารแต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะพรากชีวิตของชาวบ้านบริสุทธิ์จำนวนมากเช่นนี้ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งหงายขึ้นเพื่อเรียกสิ่งของที่อยู่ในแหวนมิติออกมา ปรากฏขึ้นเป็นตำราเก่าหนึ่งเล่ม

"ที่คนพวกนั้นต้องการก็คือตำราเล่มนี้….." ชายชราเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งจับจ้องไปยังตำราหนึ่งเล่มบนมือของตนเอง สิ่งสิ่งนี้นำพามาซึ่งมหัตภัยร้ายแรงหลายครั้งหลายครา ทอดสายตามองไปยังหนุ่มน้อยที่นั่งจับจ้องตำราเล่มนี้เช่นกัน ชายชราก็ไม่มั่นใจนักหรอกว่าสิ่งที่เขาจะพูดออกไปนี้ เด็กหนุ่มคนนี้จะเข้าใจมันหรือไม่ แต่หากว่าเขาไม่พูดมันออกไปแล้ว บางทีมันอาจเป็นเรื่องค้างคาใจเขาจนไม่อาจตายตาหลับก็เป็นได้

"ตำราเล่มนี้มีนามว่า คัมภีร์ปราณอสูรกลืนนภา"

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ