Xenophobia (n.) โรคหวาดกลัวชาวต่างชาติ
ในที่นี้ อาจหมายถึง “คนจีน” ที่คนไทยกลัว และ“ชาวเอเชีย” ที่ชาวตะวันตกกลัว ว่าจะเป็นพาหะในการแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เชื้อโรคที่คนทั้งโลกกำลังหวาดกลัวในขณะนี้
นอกจากไวรัสแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าด้วยถิ่นฐานของไวรัสโคโรน่า ที่เริ่มแพร่ระบาดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน จะทำให้คนจีนทั้งประเทศถูกเหมารวมว่าเป็นพาหะของไวรัส อีกทั้งหลังจากได้รับข่าวสารว่าเชื้อโรคโคโรน่านั้นติดต่อผ่านคนสู่คนได้ด้วย “ความกลัว” ยิ่งลุกลามจนยากจะควบคุม
ทั้งกลัว ทั้งเหยียด ระลอกความเกลียดชังที่แพร่เชื้อไวกว่าไวรัส
ตั้งแต่เกิดวิกฤตโคโรน่า นอกจากมหกรรมเฟคนิวส์ที่คนรับข่าวอย่างเรา ๆ ต้องรวมสติในการคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ กันอย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ยังมีประสบการณ์ “ถูกเหยียด” ที่ทั้งชาวจีนและชาวเอเชียโดนกันถ้วนหน้า ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นแทบจะทั่วโลก ทั้งพื้นที่ที่ไวรัสยังเดินทางไม่ถึง แต่ความเกลียดและกลัวดันระบาดนำหน้าไปก่อน โดยเราขอยกกรณีเหยียดที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ ดังนี้
อังกฤษ : สาวไทยถูกบูลลี่ที่ประเทศอังกฤษหนักมาก เมื่อเธอสวมหน้ากากอนามัยเพราะต้องการป้องกันตัวเองจากไวรัส โดยเธอโดนทั้งมองเหยียด ลุกหนี และเลวร้ายที่สุดคือตะโกนใส่ว่า “You gonna f**king die!”
สหรัฐอเมริกา : แม้กระทั่งดาราดังยังถูกหางเลข “ซีมู หลิว” นักแสดงเชื้อสายจีนที่กำลังจะรับบทซูเปอร์ฮีโร่คนใหม่ของ Marvel ยังถูกคอมเมนต์หยาบคายในโซเชียลมีเดีย บ้างขับไล่เขากลับประเทศจีน พร้อมทั้งเหยียดสีผิวของเขา จนเขาต้องทวีตข้อความตอบโต้ว่า “เชื้อไวรัสโคโรน่าไม่ใช่เหตุผลที่ทุกคนสามารถทำตัวแย่ต่อชาวเอเชียได้!”
ฝรั่งเศส : ชาวเอเชียจำนวนมากในฝรั่งเศสร่วมกันติดแฮชแท็ก #JeNeSuisPasUnVirus ซึ่งแปลว่า “ฉันไม่ใช่ตัวไวรัส” หลังจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในฝรั่งเศสพาดหัวว่า “Le péril jaune” หรือ “อันตรายสีเหลือง” อันมีความหมายในเชิงเหยียดหยามว่าคือเฉดสีผิวของชาวเอเชีย ซึ่งสร้างความไม่พอใจในหมู่ชาวเอเชียมาก ทั้งยังมีการตั้งคำถามว่าเป็นการเหยียดเชื้อชาติแบบเหมารวมหรือไม่?
ญี่ปุ่น : ร้านอาหารร้านหนึ่งในเมืองฮาโกเนะในญี่ปุ่นแปะป้าย “No Chinese Allowed” หรือไม่อนุญาตให้ชาวจีนเข้าร้าน โดยเจ้าของร้านให้เหตุผลว่าต้องการป้องกันตัวเองจากไวรัส นอกจากนี้ยังมีกรณีคล้ายกันที่เมืองอิโต ที่หญิงชาวจีนถูกตะโกนใส่ว่า “China! Out!” ซึ่งเธอรีบเดินออกจากร้านทันที เมื่อนักข่าวไปสัมภาษณ์พนักงานร้านดังกล่าว ก็ได้คำตอบว่า “ถ้าเจ้าของร้านติดโรคแล้วเสียชีวิต ใครจะรับผิดชอบ?”
ไทย : ร้านอาหารในจังหวัดเชียงใหม่เพิ่งเอาป้าย "ไม่รับคนจีน" ออก หลังถูกวิจารณ์จากชาวโซเชียลถึงความไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตบางส่วนแสดงความคิดเห็นว่าเป็นสิทธิ์ของทางร้านที่จะขึ้นป้ายห้ามตามข่าว
เห็นได้ว่าเป้าแห่งการเหยียดไม่ใช่แค่ประชาชนจีน แต่ยังรวมถึงชาวเอเชีย ที่นอกจากต้องเผชิญสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าในระยะที่แสนจะใกล้ตัว ก็ยังต้องกังวลถึงสายตาชาวโลกที่มองมาที่พวกเราด้วย
กลัวได้ แต่คิดถึงใจเขาใจเราด้วย
ในวิกฤตแห่งความหวาดระแวงก็ย่อมมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น ทั้งการส่งกำลังใจจากประเทศต่าง ๆ แคมเปญแจกหน้ากากอนามัย และการส่งต่อกำลังใจในหมู่ชาวจีนด้วยกันเอง ( อ่านเรื่องราวแสนจะดีกับใจในวิกฤตโคโรน่าต่อที่นี่ )
ไม่มีใครอยากเป็นโรคติดต่อหรือได้ลงข่าวหน้าหนึ่งในฐานะผู้โชคร้ายติดเชื้อไวรัส ทุกคนอาจเป็นเพื่อน เป็นครอบครัวของใครสักคนหรือของคุณเอง ขอให้เปิดใจให้กว้างและลดทัศนคติแง่ลบต่อเพื่อนร่วมโลกกันดีกว่านะ!
กลัวได้ ก็ป้องกันได้
ใคร ๆ ก็กลัวเชื้อโรค เราเข้าใจ แต่ในเมื่อเราต่างต่อต้านสังคมแห่งการกลั่นแกล้งแบบที่พากันชี้นิ้วใส่คนอื่นแล้วล้อเลียนว่า “ตัวเชื้อโรค ๆๆ!” เราก็ควรเริ่มต้นด้วยการหยุดความคิดลบ และป้องกันตัวเองอย่างจริงจังและมีสติ ซึ่ง LINE TODAY ขอย้ำให้ทุกคนดูแลตัวเองด้วยเทคนิคง่าย ๆ จาก สธ. ดังนี้
W-Wash hands = ล้างมือเป็นประจำ
U-Use mask properly = ใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกต้อง
H-Have temperature checked regularly = หมั่นตรวจอุณหภูมิว่ามีไข้หรือไม่
A-Avoid large crowds = หลีกเลี่ยงการเดินทางไปที่แออัด
N-Never touch your face with unclean hands = อย่าสัมผัสใบหน้าด้วยมือสกปรก
อย่าลืมว่าการเหยียดไม่ได้ป้องกันตัวเราจากไวรัส แต่การดูแลตัวเองอย่างดีต่างหาก ที่จะช่วยปกป้องเราจากไวรัสได้ ไม่ว่าจะเป็นไวรัสตัวไหนในโลกนี้ก็ตาม
--
อ้างอิง
Long k.k 42 แยกกลัวกับเหยียดออกจากกัน ฝรั่งมันเหยียดจริงแต่ทางเอเชียเขากลัว ทุกคนไม่ใช่แพทย์เขามีความรู้แค่ที่ทางการบอกแบบปิดๆบังๆ เขาผิดที่กำลังหรือ
06 ก.พ. 2563 เวลา 02.12 น.
เดียร์ ร้านอาหารที่เชียงใหม่นี่เรียกว่ากลัวนะ ไม่ใช่เหยียด เค้าก็กลัวติดโรคอยากป้องกันคนในครอบครัวเค้า การไม่รับคนจีนเค้าก็เสียรายได้ แต่คงคิดว่าดีกว่าเสี่ยงติดโรค ถ้ารัฐบาลยังไม่หยุดรับคนจีนแบบนี้ ก็ต้องพยายามดูแลตัวเองกัน เขียนข่าวว่าเค้าแบบนี้เรียกบูลลี่หรือเปล่า ถามตัวเองดู แล้วลุงตู่ก็พูดอยู่ทุกวันว่าให้ดูแลตัวเอง เค้าก็ดูแลตัวเองแล้วไงล่ะ จะอะไรกันอีก
06 ก.พ. 2563 เวลา 04.13 น.
เล็กSHB ผมว่าคนรับสื่อมากเกินไปนะ ป้องกันเท่าที่มีกำลังทรัพย์ ลดกิจกรรมที่อาจจะเสี่ยงลงบ้าง แล้วออกไปใช้ชีวิตให้ปกติ น่าจะเพียงพอ
06 ก.พ. 2563 เวลา 02.06 น.
EsPrEsSo-KiD ถ้าเราเป็นคนจีน เราก็กันตัวเองออกจากการแพร่เชื้อนะ ต้องเข้าใจว่าใครๆก็รักชีวิตตัวเอง เขาก็ต้องกันไว้ก่อน
อย่างที่รู้ๆว่าความเจ้าเลห์ในตัวก็เยอะ วีรกรรมที่สร้างไว้ก็มากมาย
#ล่าสุดหญิงจีน 1 คน แพร่้ชื้อไปถึง 68 คนใน 100 เพราะนางปกปิดข้อมูลของนาง
#ควรยอมรับแล้วแก้ไขไม่ใช่คิดเพียงแต่คำว่าบูลี่
06 ก.พ. 2563 เวลา 03.05 น.
Songsri T. ต้องแยกการเหยียดกับการปิดกั้นการระบาด คนละเรื่องกัน การปืดกั้นการระบาดเพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อจากตัวเราสู้คนอื่นที่ใกล้ขิด นี่คือเพื่อส่วนรวมที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นการเหยียด การเหยียดเป็นนิสัยส่วนตัวที่เห็นแก่ตัวของคนคนนั้น อย่าเอาเจตนาที่ต่างกันมารวมกันเป็นข้ออ้างเพื่ออะไรก็แล้วแต่
06 ก.พ. 2563 เวลา 02.54 น.
ดูทั้งหมด