ไลฟ์สไตล์

“อุบะสึเทะ” ตำนานการพาพ่อแม่ไปทิ้งบนภูเขาเมื่อแก่ชรา - เพจ Eak SummerSnow

TOP PICK TODAY
เผยแพร่ 18 ธ.ค. 2563 เวลา 20.00 น. • เพจ Eak SummerSnow

ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นเริ่มมีความกังวลกันว่าอาจจะเริ่มเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุกันในเร็ววันนี้ เพราะอัตราการเกิดลดน้อยลง การแต่งงานน้อยลง ในขณะที่ประชากรกลุ่มผู้สูงอายุกลับเพิ่มมากขึ้น และอายุยืนขึ้นอีกด้วยนะครับ นั่นทำให้ตอนนี้ในญี่ปุ่นก็เริ่มตื่นตัวและวางแผนการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต 

ไม่ว่าจะเป็นความพยายามสนับสนุนในการเพิ่มประชากรใหม่ของประชากร เช่น สนับสนุนให้คนแต่งงานและมีลูกมากขึ้น มีเงินสนับสนุนให้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการเตรียมการในการรับมือกับการเกษียณอายุจากการทำงานของประชากร ซึ่งก็ต้องใช้งบประมาณมหาศาล จึงปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นมากนั้นเป็นภาระที่หนักสำหรับประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ในช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นก็เลยเริ่มมีคนที่พูดถึงเรื่องตำนานเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับสถานการณ์นี้ นั่นก็คือตำนาน “อุบะสึเทะ” เพื่อเปรียบเทียบโลกในปัจจุบันกับในอดีต… 

ตำนานเรื่องอุบะสึเทะนี้ เป็นเรื่องเล่าที่มีมานานในญี่ปุ่นครับ บางคนก็บอกว่าเป็นเรื่องจริง แต่บางคนก็บอกว่าเป็นแค่เรื่องเล่า โดยมีการนำไปเล่าแต่งเติมเป็นนิทานอย่างแพร่หลาย รวมถึงถูกนำไปทำเป็นภาพยนต์อีกด้วย

ถ้าแปลตามตัว คำว่าอุบะสึเทะก็แปลว่า “การทิ้งคนแก่” ซึ่งตำนานนี้เล่าย้อนไปถึงสมัยเอโดะเมื่อราว ๆ 300-400 ปีก่อน ซึ่งเป็นสมัยที่ขุนนางยังมีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จจึงได้ออกคำสั่งที่กดขี่ชาวเมืองอย่างหนัก และเมื่อบ้านเมืองเกิดความแห้งแล้ง ขาดแคลนทรัพยากร เหล่าขุนนางจึงออกคำสั่งให้ทำการกำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งไป 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

สิ่งไม่จำเป็นที่ว่าก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่เป็นเหล่า “คนแก่” ที่ไม่มีประโยชน์ในการทำงาน แถมยังเป็นภาระที่เมืองต้องเลี้ยงดู โดยขุนนางนั้นได้ออกคำสั่งให้ครอบครัวที่มีคนแก่ อายุมากกว่า 70 ปี จะต้องนำคนแก่เหล่านั้นขึ้นไปทิ้งบนภูเขาที่ห่างไกลจากเมืองให้อดตายอยู่บนนั้น ใครที่ไม่ยอมก็จะถูกประหารชีวิตเพราะถือว่าเป็นภาระต่อสังคม ส่วนคนที่ขึ้นไปตายอยู่บนภูเขาจะถือว่าจะได้รับเกียรติเป็นอย่างยิ่งในการเสียสละเพื่อประเทศชาติ

Ubasute no tsuki (The Moon of Ubasute), by Yoshitoshi

ตามตำนานเล่าว่ามีชายผู้หนึ่งที่ต้องนำแม่ของเขาที่อายุ 70 ปีขึ้นไปทิ้งตามคำสั่งของขุนนาง ในวันนั้นเขาก็แบกแม่ขึ้นหลังเดินทางขึ้นเขาไปเพื่อจะนำแม่ไปทิ้ง ระหว่างทางนั้นแม่ของเขาได้หักกิ่งไม้ข้างทางคว้านู้นคว้านี่ไปตลอดทาง ทำให้ลูกชายอดคิดไม่ได้ว่าแม่นั้นคงจะรู้สึกโกรธเป็นอย่างมากที่ลูกจะนำตัวเองไปทิ้ง จึงได้ทำแบบนั้น แต่เมื่อไปถึงจุดที่จำต้องนำแม่ไปทิ้ง แม่ก็ได้บอกกับลูกชายว่า

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

“แม่ได้หักกิ่งไม้ตามทางเอาไว้แล้ว เพื่อให้เจ้าเดินกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยนะลูก”

พอชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็มองไปเห็นมือและเนื้อตัวของแม่ที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากกิ่งไม้ ชายหนุ่มจึงแทบทรุดลงกับพื้น พร้อมทั้งน้ำตาไหลและรับรู้ได้โดยทันทีว่า แม้แม่จะแก่ชราจนไม่สามารถทำงานอะไรได้แล้ว แต่แม่ก็ยังเป็นแม่ ที่ยังคงคิดแต่จะปกป้องลูกจนวินาทีสุดท้าย แล้วแบบนี้เขาจะทิ้งแม่ของเขาไว้บนภูเขาได้อย่างไร 

ชายหนุ่มจึงแบกพาแม่ลงจากเขามาทั้งน้ำตา แล้วหลบซ่อนแม่ของเขาไว้ข้างล่างแทน และในตอนสุดท้าย เมื่อเวลาผ่านไปขุนนางก็ได้สั่งยกเลิกกฎการนำคนแก่ไปทิ้ง ทั้งชายหนุ่มและแม่จึงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข โดยไม่คิดว่าแม่นั้นคือภาระแม้แต่น้อย

ปัจจุบันญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ก็เริ่มมีคนนำเรื่อง “อุบะสึเทะ” กลับมาพูดมากขึ้น แน่นอนว่าในยุคปัจจุบันคงไม่มีการนำใครไปทิ้งไว้บนภูเขาอีกแล้ว แต่ถ้ามองสภาพสังคมญี่ปุ่นตอนนี้จะพบว่า จริง ๆ แล้วเรื่องของ “อุบะสึเทะ” ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัวเลย เพราะมันแฝงอยู่ในสังคมญี่ปุ่นมาตลอด ครอบครัวคนญี่ปุ่นนั้นเมื่อลูกหลานแต่งงานแยกครอบครัวออกไป ก็จะถือว่าเป็นคนละครอบครัวกันโดยสิ้นเชิง ลูกหลานก็มักจะเดินทางเข้าเมืองเพื่อทำงาน และสร้างครอบครัว 

ส่วนผู้สูงอายุก็จะอยู่ที่บ้านเกิดตามต่างจังหวัดกันตามลำพังเพราะไม่อยากรบกวนลูกหลาน ผู้ที่มีฐานะดี ก็จะยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างไม่ลำบาก แต่ถ้าเป็นผู้ที่ฐานะไม่ดี ก็จะใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ค่าครองชีพสูงอยู่แล้ว แม้ทางการญี่ปุ่นจะมีสวัสดิการและสังคมสงเคราะห์ที่คอยช่วยเหลือ แต่ผู้สูงอายุในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ยังถือคติที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” และต้องการที่จะใช้ชีวิตโดยที่ไม่พึ่งพาใคร แม้สุดท้ายบางคนจะไม่เหลือเงินที่ใช้ในการยังชีพ จนต้องออกมาเป็นคนไร้บ้าน และใช้ชีวิตอยู่ตามริมถนนก็ตาม

ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ในเมืองใหญ่ที่มีความเจริญอย่าง “โอซาก้า” ก็มีย่านหนึ่งที่ถือเป็นย่านที่เสื่อมโทรม และเป็นศูนย์รวมของผู้ไร้บ้าน นั่นก็คือย่าน “นิชินาริ” นั่นเอง ย่านนี้เป็นย่านที่มีผู้เร่ร่อนอยู่เยอะทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องพยายามทำการช่วยเหลือโดยการทำให้ย่านนี้มีค่าครองชีพที่ถูกกว่าย่านอื่น ทั้งที่พัก หรืออาหาร แต่ผลก็คือกลับทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางเข้ามาพัก กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวหลาย ๆ คนนิยมมาพักไปแทน เนื่องจากราคาที่พักถูก ราคาอาหารก็ถูก แถมยังเดินทางสะดวก อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายที่ เชื่อว่าหลายคนที่มาเที่ยวโอซาก้าก็อาจจะเคยมาพักที่ย่านนี้โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าย่านนี้คืออะไร แต่ก็จะรู้สึกได้ว่ามีคนไร้บ้านอยู่ค่อนข้างเยอะ

เวลามาเที่ยว เราจะสามารถเห็นได้ว่าคนไร้บ้านส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุที่มีรายได้ประทังชีวิตจากการเก็บขยะขายบ้าง ซึ่งทางการก็พยายามจะเข้าไปช่วยเหลืออยู่ตลอดนะครับ ทั้งการจะพยาเข้าไปอยู่ในศูนย์พักพิง แต่เป็นเหล่าผู้ไร้บ้านเองนั่นแหละที่มักจะปฏิเสธความช่วยเหลือ เพราะเขาอยากใช้ชีวิตที่เป็นอิสระและพึ่งพาตัวเองอย่างมีศักดิ์ศรีในแบบของเขามากกว่า

ไม่ต่างอะไรกับการใช้ชีวิตบนภูเขา “อุบะสึเทะ” ก่อนจะตายจากโลกนี้ไป

ติดตามบทความใหม่เกี่ยวกับเรื่องน่ารู้และเรื่องแปลก ๆ ของประเทศญี่ปุ่นทาง LINE TODAY: TOP PICK TODAY จากผมได้ทุกวันเสาร์นะครับ

ช่องทางการติดตามเพิ่มเติม

Facebook :Eak SummerSnow

Youtube : Eak SummerSnow

ความเห็น 16
  • charto
    อ่านแล้วเศร้ามากถ้าเป็นเรื่องจริงในอดีต โดยเฉพาะในสังคมตอ.ที่มีความเชื่อเรื่องความกตัญญู
    19 ธ.ค. 2563 เวลา 03.07 น.
  • So
    อ่านตอนแม่บอกหักกิ่งไม้ตามทางให้ลูกเดินทางกลับอย่างปลอดภัย น้ำตาจะไหล
    19 ธ.ค. 2563 เวลา 07.13 น.
  • สงสัยว่าเราคงจะต้องวางแผนชีวิตในวันข้างหน้าเอาไว้บ้างแล้วล่ะ เพราะแก่ตัวมาจะได้สบายและก็ไม่ต้องมาเป็นภาระให้กับลูกหลาน.
    19 ธ.ค. 2563 เวลา 08.01 น.
  • ทองผา ธรรมไหว
    มันโหดร้ายเหลือเกิน
    19 ธ.ค. 2563 เวลา 06.05 น.
  • m.pongsak
    สังคมชนชาติไหน ก็เหมือนกัน ..ถ้าคนแก่ แต่มีเงิน..รับรองลูกหลานเช้าถึงเย็นถึง..หัวบันไดไม่แห้ง..
    19 ธ.ค. 2563 เวลา 09.24 น.
ดูทั้งหมด