ถึงแม้ตอนนี้บ้านเราจะอยู่ในฤดูฝน แต่สำหรับประเทศที่มีแค่อากาศร้อนกับร้อนมากก็คงหลีกเลี่ยงแสงแดดอันแผดเผาไม่ได้อยู่ดี และแสงแดดนี่เองที่เป็นตัวการทำร้ายผิวได้จนคุณนึกไม่ถึงเลยทีเดียว
เพราะเหตุนี้นี่แหละ ครีมกันแดดก็เลยมีบทบาทสำคัญในการปกป้องผิวจากแสงแดดไม่ให้เข้ามาทำร้ายผิวได้โดยตรง แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยชอบทาครีมกันแดดกันสักเท่าไหร่ เพราะมันทั้งเหนียวเหนอะหนะแถมยังเพิ่มขั้นตอนการบำรุงผิวเข้าไปให้ซับซ้อนมากขึ้นอีก แต่รู้ไหม..ครีมกันแดดมันมีข้อดีจริง ๆ ถึงจะยุ่งยากและขี้เกียจยังไงก็ทาไปเถอะ มันปกป้องเราได้จริง ๆ
ทำไมต้องทาครีมกันแดด
มีงานวิจัยเป็นหลายหมื่นชิ้นที่บอกถึงอันตรายของแสงแดด หนึ่งในนั้นก็คือเมื่อโดนแดดจัด ๆ นาน ๆ และสม่ำเสมอ มีโอกาสทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ รังสี UV จะเข้าทำลาย DNA จนอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งที่ผิวหนัง เพราะในแสงแดดจะมีสารกระตุ้นมะเร็งอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อได้รับแสงแดดจัด ๆ โดยตรงเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนังมากขึ้น
นอกจากมะเร็งที่น่ากลัวเป็นอันดับหนึ่งแล้ว แสงแดดก็ยังทำร้ายผิวเราได้หนักหนาไม่แพ้กัน ทั้งทำให้ผิวไหม้ ผิวหนังอักเสบติดเชื้อได้ง่าย เป็นกระแดดและฝ้า และอาจทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย
ดังนั้นในเมื่อเราคนไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้อย่างแน่นอน การทาครีมกันแดดเป็นประจำและสม่ำเสมอก็น่าจะเป็นตัวเลือกในการปกป้องตัวเองได้ดีอย่างหนึ่ง
จะเลือกครีมกันแดดอย่างไรดี
ปัจจุบันครีมกันแดดมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นครีม เจล สเปรย์ หรือโลชั่น ซึ่งมีเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน หลักการเลือกคือต้องดูที่ผิวของแต่ละคนว่าเหมาะกับครีมกันแดดรูปแบบไหน เช่น คนผิวมันควรเลือกชนิดที่เป็นเจลหรือโลชั่น ส่วนคนผิวแห้งก็ควรเลือกครีมกันแดดชนิดที่เป็นครีม เพื่อไม่ให้ผิวแห้งมากขึ้น
สำหรับการเลือกครีมกันแดด วิธีที่ง่ายและแพร่หลายที่สุดก็คือเลือกจากค่า SPF และ PA ซึ่ง SPF ก็คือ ความสามารถของผลิตภัณฑ์ในการปกป้องผิวหนังจากรังสี UVB ส่วน PA คือระดับการปกป้องผิวจากรังสี UVA ซึ่งยิ่งบวกมากก็ยิ่งปกป้องผิวจาก UVA ได้มาก (PA++++ คือค่าที่มีประสิทธิภาพสูงสุด)
คนส่วนใหญ่จึงมักเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงไว้ก่อน แต่จริง ๆ แล้ว SPF ที่มากกว่า 30 ขึ้นไปให้ฤทธิ์ของการปกป้องแสงแดดแตกต่างกันน้อยมาก โดย SPF 15 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ 93% SPF 30 ป้องกันได้ 97% ในขณะที่ SPF มากกว่า 50 ป้องกันได้ 98% ซึ่งแตกต่างกันเพียง 1% ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงเสมอไป และครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงส่วนใหญ่ก็มักจะทำให้ระคายเคืองผิวได้ง่ายด้วย
ดังนั้น การเลือกครีมกันแดดจึงต้องเลือกที่มีทั้งค่า SPF และ PA โดยจะต้องพิจารณาร่วมกับสภาพผิวเพื่อเลือกรูปแบบของครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย
วิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้องและได้ผลจริง
ครีมกันแดดก็เหมือนสารพัดครีมที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งครีมแต่ละตัวก็มีวิธีการใช้และปริมาณที่แนะนำแตกต่างกันไป ครีมกันแดดก็เช่นกัน ถึงแม้จะมีค่า SPF ที่บ่งบอกประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UV B อยู่แล้ว แต่ปริมาณและวิธีการใช้ก็มีผลต่อการปกป้องผิวหน้าหรือผิวกายจากแสงแดดด้วยเช่นกัน
ในทางทฤษฎีแล้ว การทาครีมกันแดดให้ได้ผลจะต้องใช้ปริมาณ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร โดยเกลี่ยทาให้ครอบคลุมทั่วใบหน้า นั่นหมายถึงการทาครีมกันแดดบนใบหน้า 1 ครั้งจะต้องใช้ครีมกันแดดประมาณ 1 กรัม ซึ่งไม่ใช่ปริมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียวอย่างที่เคยได้ยินกันมาอย่างแน่นอน หากวัดจากนิ้วมือของเรา ปริมาณการทาครีมกันแดดที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 2 ข้อนิ้วกลาง หรือขนาดเท่าเหรียญสิบบาท และควรทาก่อนออกแดด 30 นาที จึงจะมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดด
นอกจากปริมาณแล้ว วิธีการทาก็สำคัญ ครีมกันแดดจะต้องทาเคลือบทับทุกครีม เรียกว่าเป็นการปกป้องขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่ผิวจะไปเจอแสงแดด ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าถ้าจำเป็นต้องอยู่กลางแดดหรือโดนแดดเป็นเวลานาน ๆ ก็ควรจะต้องทาครีมกันแดดเพิ่มทุก ๆ 2 ชั่วโมงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องผิว
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ทาครีมกันแดดเลย
ข้อแนะนำที่ดีที่สุดในการปกป้องกันอันตรายจากแสงแดดก็คือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วงเวลาประมาณ 09.00-16.00 น. แต่คนเราไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่โดนแดดในช่วงเวลาที่แดดจัดตลอดเวลาได้ ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดจึงเป็นตัวช่วยที่มีเหตุมีผลและสำคัญที่สุดที่จะช่วยปกป้องผิวเมื่อจำเป็นต้องออกแดดในช่วงเวลาดังกล่าว
แล้วถ้าไม่ทาครีมกันแดดเวลาต้องออกไปเจอแดดจะเป็นอย่างไร ตอบได้เลยว่าถ้าไม่บ่อย ไม่นาน ก็คงไม่เป็นอะไรเท่าไหร่ อย่างมากในระยะสั้นก็แค่แสบร้อน ผิวแสบ ผิวไหม้แดด สักพักแล้วก็หาย แต่ในระยะยาวส่งผลกับผิวอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ริ้วรอยก่อนวัย ผิวหมองคล้ำ เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
ยิ่งถ้าต้องออกไปเจอแดดเป็นประจำ แต่ไม่เคยทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวเลย รังสี UV ก็จะเข้ามาทำร้ายผิวได้โดยตรง และเป็นสาเหตุของโรคที่นึกไม่ถึงอย่างโรคหลอดเลือดฝอยโป่งพอง ซึ่งจะมีเส้นเลือดฝอยแตกแขนงออกมาหลาย ๆ เส้นบนผิวหนัง สามารถเกิดขึ้นได้ตามผิวหนังทั่วร่างกาย และสาเหตุที่เป็นไปได้ก็คือการถูกทำร้ายจากแสง UV ที่เข้าไปทำร้ายผิวหนัง จนผิวบางลง เลยทำให้เห็นเส้นเลือดฝอยได้ชัด
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือแสงแดดทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้จริง ๆ ถึงแม้มะเร็งผิวหนังจะไม่ใช่มะเร็งที่บ่อย และสามารถรักษาให้หายได้ แต่จากงานวิจัยระบุว่ามะเร็งผิวหนังมีสาเหตุโดยตรงมาจากรังสี UV ที่มากับแสงแดด ดังนั้นการเจอแสงแดดบ่อย ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ ก็เท่ากับการเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการมะเร็งผิวหนังได้ โดยงานวิจัยหนึ่งที่ออสเตรเลียในปี 2011 ระบว่าคนที่อายุ 25-75 ปี ที่ทาครีมกันแดดเป็นประจำอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปี จะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ทาครีมกันแดดเลยอีกด้วย
รู้แบบนี้แล้วก็รีบหาครีมกันแดดพกติดตัวไว้บ้าง จะได้ไม่แก่ก่อนวัย แถมไม่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคอื่น ๆ ด้วย
อ้างอิง
Leevaria 100 ครีมบำรุง
ก็ไม่เท่า 1 ครีมกันแดด(หมอผิวหนังเคยบอกไว้)
25 พ.ค. 2563 เวลา 15.48 น.
Pattie ขอบคุณค่ะ เพิ่งรู้ว่าค่า spf ไม่จำเป็นต้องสูงๆ เสมอไป
25 พ.ค. 2563 เวลา 09.11 น.
™♚↭ℓℓΩ๊ປປ้ี↭♚® ขอบคุณข้อมูลดีๆครับ
มีสาระมากครับ
25 พ.ค. 2563 เวลา 16.29 น.
มันแค่มีโอกาสมากกว่าคนทาครีม แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นง่ายๆ ไม่งั้นคนจนๆที่ทำงานก่อสร้างเป็นกันหมดแล้ว
25 พ.ค. 2563 เวลา 14.31 น.
Krizuza รู้หรือไม่ คนไทย เยอะมาก เช็คเลือด แล้วขาด วิตามินดี
เหตุผลหลักๆ คือ กลัวแดด...
25 พ.ค. 2563 เวลา 23.15 น.
ดูทั้งหมด