ทำไมเราถึงได้ทุกข์ร้อน เดือดเนื้อร้อนใจกันอยู่เสมอ คำตอบมีเพียงอย่างเดียวก็เพราะเราไปแบกความทุกข์พวกนั้นเอาไว้ ยิ่งแบก ก็ยิ่งทำให้ทุกข์ แต่ทั้ง ๆ ที่ทุกข์มาก ก็ไม่มีท่าทีว่าจะวางสิ่งที่แบกอยู่นี้ลงเลย กลับยิ่งแบกใส่บ่า ใส่ใจ เอาเรื่องต่าง ๆ เข้ามาทำให้ทุกข์หนักขึ้นไปอีก
ธรรมชาติของชีวิตก็เป็นแบบนี้ มีทั้งทุกข์และสุขปะปนกันไป แต่เจ้าตัวความทุกข์มักจะมาถามหามากกว่าเสมอ เพราะทุกอย่างในชีวิตคนเราทำให้เกิดทุกข์ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะร่างกาย ความรู้สึก ความคิด จิตใจ ก็ทำให้เราเป็นทุกข์ได้ ตราบเท่าที่คนเรายังยึด ยังไม่หยุดที่จะคิด ไม่ปล่อย ไม่วาง ก็ไม่มีวันที่จะหลุดพ้นความทุกข์ไปได้
อะไรที่ทำให้ทุกข์ ก็แค่ปล่อยมันไป..
จริง ๆ แล้วเหตุที่คนเราทุกข์ มันมีสาเหตุมากมายนับไม่ถ้วน ไม่สบาย เจ็บป่วยก็ทุกข์กาย ไม่มีเงิน ไม่มีกิน ก็ทุกข์ใจ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคนเราบ่อยเสียยิ่งกว่าอะไรดี
เหตุที่คนเราทุกข์ส่วนใหญ่ก็เพราะไปยึด ไปบีบ ไปกำมันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ยิ่งกำแน่น บีบแน่น ยึดแน่นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น เหมือนมือที่จับกันเอาไว้ แต่ยิ่งจับแน่นก็ยิ่งอึดอัด ยิ่งบีบก็ยิ่งเจ็บ มือของคนเราถูกออกแบบมาให้จับแล้วก็ปล่อย เมื่อปล่อยก็ไม่เจ็บ ไม่อึดอัด แต่ถ้าไม่ยอมปล่อยก็รังแต่จะทำให้ไม่สบายใจ และสุดท้ายก็เป็นทุกข์เสียเอง
ดังนั้น อะไรที่ทำให้เราต้องทุกข์ เราก็แค่ต้องปล่อยมันไป..ในทางปฏิบัติเราก็แค่อย่าไปคิดถึงอะไรที่มันผ่านไปแล้ว คนเราถ้า “คิดเป็น ก็ต้องหยุดคิดให้เป็นด้วย”
การหยุดคิดให้เป็น..คือต้องรู้เวลาไหน ตอนไหน เรื่องไหน ไม่ควรเอามาคิดอีกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ความคิด จิตใจมันเผลอวนไปคิดขึ้นมา เราก็แค่ต้องหยุดความคิดนั้น แรก ๆ อาจฝึกด้วยการหันเหคิดถึงเรื่องอื่น ถ้าเราฝึกตัวเองอยู่บ่อย ๆ สุดท้ายก็จะหยุดคิดเรื่องนั้นได้เอง
ปล่อยวางด้วยปัญญา ไม่ใช่แค่วางเฉยไว้
เรามักได้ยินกันบ่อย ๆ ว่าในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจะสอนให้ปล่อยวาง เมื่อปล่อยวางได้ก็จะไม่ทุกข์ แต่หลายคนเข้าใจผิดว่าปล่อยวางคือการไม่ต้องไปสนใจ ทว่าจริง ๆ แล้วการปล่อยวางจำเป็นต้องประกอบไปปัญญา ไม่ใช่การทำเป็นไม่สนใจหรือปล่อย ๆ มันไปอย่างนั้นเอง
ปัญญาในที่นี้ไม่ใช่ความฉลาด ไม่ใช่ความเก่ง แต่เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นจากการคิดหาจนทำให้รู้แจ้งตามเป็นความจริง รับรู้ถึงทุกข์ ถึงกิเลสที่เกิดขึ้น ซึ่งพอรู้ชัดว่าจะสามารถทำลายกิเลสได้อย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ดังนั้นจะปล่อยวางได้ ก็จำเป็นจะต้องมีปัญญาเสียก่อน
เพราะยังไง..การทำเป็นไม่สนใจก็ไม่ต่างอะไรกับการอดทนให้มันผ่าน ๆ ไป สักวันเมื่อความอดทนหมดลง เราก็จะกลับมาทุกข์อีก แต่หากเป็นการปล่อยวางเพราะมีปัญญา ก็จะเห็นความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น พอมีอะไรเข้ามากระทบก็รู้เท่าทันของสิ่งนั้น ๆ ว่ามันเป็นแค่สิ่งชั่วครู่ ชั่วคราว ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน แม้แต่ชีวิตคนเรา นับประสาอะไรกับความทุกข์ที่เข้ามา เพราะแค่เราปล่อยวางให้เป็น ความทุกข์ก็ตามเราไม่ทันแล้ว
สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ก็คือ ทุกอย่างในโลกนี้ทำให้ทุกข์ได้ทั้งนั้น ตราบที่เรายังยึดมันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย และนี่แหละคือสาเหตุที่คนเราเป็นทุกข์กันไม่จบไม่สิ้นเสียที~
อยู่ในโลก ก็คงเลี่ยงได้ยากแหละครับ
คงแล้วแต่ว่าใครจะเห็นชีวิตยังไง และถ้าเมื่อเห็นแนวทางชีวิตต่างกัน ก็อาจมีกระทบกระทั่งกัน
10 ส.ค. 2563 เวลา 16.04 น.
ทุกข์เพราะกิเลสตัณหานี่เรื่องจริง อยากได้อยากมีอยากเป็น ไม่อยากเป็น แต่ที่ทุกข์เพราะว่าไม่ได้ดังใจ
สุขด้วยกิเลสตัณหา นี่ก็เรื่องจริง รู้สึกเป็นสุขเพราะได้สนองต่อกิเลสตันหา และก็ได้สมใจ
บุคคลประเภทแรก คือคนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ความอยากได้อยากมีนำหน้า เมือไม่ได้จึงทุกข์ ปล่อยวางไม่ได้
คนต่อมา คือคนที่รู้และพอเข้าใจ แต่คลายไม่ได้ ต้องมีสิ่งยึดและถือเอาไว้ ยอมทุกข์เพื่อได้อยู่ต่อ ได้มีจุดหมายของชีวิต ไม่งั้นคงกลัวว่างเปล่า
คนส่วนใหญ่จะต้องการ เงินทองชื่อเสียงเกียรติยศ
10 ส.ค. 2563 เวลา 15.55 น.
DANUPOL_J.THIP(◕‿◕) พูดใครๆก็พูดได้ลองมาเจอ*ัััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััักับตัวเองจะพูดไม่ออกละกัน แอดเฮ้ย มันอยู่ที่ทำตัว ทำยังไงก็ต้องได้แบบนั้นแหล่ะง่ายๆไม่ไม่ยาว
07 ส.ค. 2563 เวลา 20.41 น.
ยุทธ คับ กินของเสียเลยต้องปลดทุกบ่อยในห้องน้ำ
06 ส.ค. 2563 เวลา 04.27 น.
น้องคะนิ้ง ไก่อบโอ่ง พอเพียง!!(ผมก็ทุกข์เพราะไม่เพียงพอ)..
04 ส.ค. 2563 เวลา 17.57 น.
ดูทั้งหมด