การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนา ถือว่าได้สร้างประวัติศาสตร์การเมืองที่สำคัญของคนกรุงเทพฯ คือ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคเก่าแก่ แชมป์เก่า ครองใจคนเมืองมาอย่างยาวนาน และครองพื้นที่ส.ส.ส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสนามใหญ่หรือสนามเล็กอย่างเลือกผู้ว่าฯกทม.กลับไม่ได้ส.ส.เลยสักคน
หากมองย้อนไปหรือมานั่งคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ว่าเหตุผลกลใดหรือเหตุผลอะไร ถึงทำให้พรรคประชาธิปัตย์ เรียกได้ว่า “สูญพันธุ์” ไปจากพื้นที่กรุงเทพฯได้ขนาดนี้
ต้องยอมรับว่ากรุงเทพฯเป็นพื้นที่พิเศษ ที่กระแสมีผลต่อการเลือกตั้งเป็นอย่างมาก ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กระแสมีผลต่อคะแนนมากเพียงใด ประกอบการเลือกตั้งครั้งนี้ นิวโหวตเตอร์ จำนวนมาก คะแนนจึงเทไปที่พรรคอนาคตใหม่
ส่วนพลังเงียบก็เทไปที่พรรคอนาคตใหม่ เพราะอาจจะด้วยเบื่อหน่ายความขัดแย้งของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ จึงหาทางเลือกใหม่ให้กับตัวเอง ซึ่งแจ็คพอตตกลงไป พรรคอนาคตใหม่
พรรคประชาธิปัตย์เอง เดิมที่มีฐานและแฟนคลับของตัวเองที่ถือว่าเหนียวแน่น แต่ต้องไม่ลืมว่า คนกลุ่มนี้คือกลุ่มคนชั้นนำในเมือง ซึ่งมองว่า ถ้าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้และไม่สามารถสกัดพรรคเพื่อไทยหรือเครือข่ายพรรคเพื่อไทย เรียกง่ายๆ กลุ่มนี้คือกลุ่มไม่เอาทักษิณ ซึ่งคนกลุ่มนี้มองว่า พรรคที่จะสกัดเครือข่ายทักษิณได้ ในขณะนี้คือ พลังประชารัฐ ไม่ใช่ ประชาธิปัตย์ อีกต่อไป
ต้องเข้าใจกันว่าเดิม ประชาธิปัตย์ คือพรรคของตัวแทนชนชั้นนำที่มีทั้งกลุ่มนายทุนและทหารคอยให้การสนับสนุนอยู่ แต่เมื่อครั้งนี้ กลุ่มนายทุนและทหาร มีพรรคเป็นของตัวเอง ลงมาเปิดหน้าเล่นเอง คือ พลังประชารัฐ จึงไม่จำเป็นต้องใช้พรรคตัวแทนอีกต่อไป
ประกอบกับพื้นที่กรุงเทพฯขณะนี้ ผู้บริหารกรุงเทพฯ สามารถเรียกได้ว่าเป็นเครือข่ายพลังประชารัฐ ตั้งแต่ผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ ทำให้อำนาจในการจัดการบริหาร จึงเอื้อให้พลังประชารัฐ ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ อย่างที่เคยเป็นมา ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐมีผลต่อการจัดการเลือกตั้งหรือดูแลการเลือกตั้งเป็นอย่างมาก สามารถเอื้อประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย
ส่วนสำคัญที่เชื่อว่ามีผลทำให้ประชาธิปัตย์ สูญพันธุ์ คือ เมื่อปี 2560 พล.อ.ประยุทธ์ ได้ประกาศว่าจะมีเลือกตั้งเกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้อดีตส.ส.ของพรรค รวบรวมรายชื่อ หัวคะแนนทุกระดับของตนเอง ในแต่ละพื้นที่ ส่งมายังพรรค เพื่อเป็นการเตรียมการเลือกตั้ง
ซึ่งคนที่ทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อในขณะนั้น ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่กับพลังประชารัฐ และได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบการเลือกตั้งพื้นที่กรุงเทพฯ และก่อนหน้านี้พลังประชารัฐ เคยมีการดูด ทาบทามอดีตส.ส.กทม.ของประชาธิปัตย์ เพื่อมาช่วยดูแลการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่ไม่มีใครย้ายมา
เมื่อดูดส.ส.ไม่ได้ เข็มจึงแบน มาที่หัวคะแนน คือสก. สข. ซึ่งดูเหมือนว่า มีรายชื่ออยู่ในมืออยู่แล้ว จึงไม่แปลกใจที่ผู้สมัครส่วนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ คือหัวคะแนนหรือสก. สข.จากประชาธิปัตย์ ซึ่งมีฐานเสียงอยู่แล้ว รู้พื้นที่อยู่แล้ว เรียกง่ายๆ รู้มือกันอยู่ และบรรดาสก.สข.ถูกดูดมาก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้สมัครส.ส.ลงแข่งกับผู้สมัครประชาธิปัตย์เสียเอง
นอกจากนี้เรื่องยุทธศาสตร์การลงพื้นที่ของบรรดาแกนนำพลังประชารัฐหรือแม้กระทั่งนายกฯ ก็มีการเจาะพื้นที่หรือใช้รูปแบบ คล้ายคลึงกับประชาธิปัตย์ ซึ่งมีการมองกันว่า อาจเป็นผลมาจากคนที่เคยอยู่ประชาธิปัตย์เดิม มาช่วยเป็นกุนซือให้ จึงรู้ว่าพื้นที่ไหนต้องเจาะเป็นพิเศษ พื้นที่ไหนลงแล้วมีคะแนน
ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ อาจจะเป็นเหตุผล ที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่การเลือกตั้งกรุงเทพฯ ที่ทำให้พรรคเก่าแก่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ต้อง “สูญพันธุ์”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง >> “อภิสิทธิ์” แถลงลาออก แสดงความรับผิดชอบ
. ก็เพราะไปร่วมชัดดาวน์กรุงเทพไงคนชั้นสูงในกทมเลือกแต่คนชั้นล่างในกทมเขาไม่เลือกเพราะคนจนมันเยอะกว่าเขาเดือดร้อนกันทั่วปทคนค้าขายน่ะ
26 มี.ค. 2562 เวลา 13.16 น.
δɳ੨੨૫ ถ้ายังปากหมากันไม่หาย อีกหน่อยแม้แต่ป้ายชื่อพรรคก็คงรักษาไว้ไม่ได้ 😂
26 มี.ค. 2562 เวลา 12.06 น.
TANADON ไม่น่าถามเลย..ก็ไอ้มาร์คมันดีแต่เห่า
26 มี.ค. 2562 เวลา 13.08 น.
KASO คิดไม่เป็น ไง
26 มี.ค. 2562 เวลา 13.16 น.
sunai ดีแต่พูดว่ะ โดยเฉพาะพูดใส่ร้ายป้ายสี สร้างวาทกรรมให้เกิด
ความแตกแยก พรรคนี้ถนัดนัก หลักการดี แต่ไม่เคยทำสำเร็จ
สมาชิก สส.ในพรรค ไม่ค่อยติดดิน ภาพรวมค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง แต่ ท่าดีทีเหลว
26 มี.ค. 2562 เวลา 13.17 น.
ดูทั้งหมด