ทั่วไป

บันทึกจากน้องสาวที่แสนดี ดูแล'พี่ป่วยมะเร็ง'สู้จนรอด

เดลินิวส์
อัพเดต 23 พ.ย. 2562 เวลา 15.57 น. • เผยแพร่ 23 พ.ย. 2562 เวลา 15.09 น. • Dailynews
เปิดบันทึก “น้องสาว” แสนดีพยาบาลชีวิตจริง แชร์ประสบการณ์ “พี่สาว” อดีตผู้ป่วยมะเร็งกระดูกกัดกินปอด วัย 70 ปี ถ่ายทอดถอดบทเรียนเป็นหนังสือ ส่งกำลังใจช่วยกระตุกคิด “เป็นมะเร็งรอดตายรักษาได้”

นับเป็นอีกหนึ่งโรคที่สร้างความกลัวให้เกิดขึ้นได้ เมื่อพูดถึง…โรคมะเร็ง โดยเฉพาะตัวผู้ป่วยเองที่อาจจะเพิ่งทราบว่าตนเองกำลังเผชิญกับโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่เราจะทำอย่างไรให้ความกลัวนั้น กลับกลายเป็นพลังที่เข็มแข็ง เป็นเรื่องที่ท้าทายจิตใจของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก

 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ผช.ศ.ดร.กมลมาลย์ วิรัตน์เศรษฐสิน อดีตอาจารย์คณะพลศึกษา สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นผู้หนึ่งที่คลุกคลีดูแลผู้ป่วยมะเร็งในครอบครัวมากถึง 4 คน ทั้งมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งลำไส้ มะเร็งโพรงจมูก และมะเร็งกระดูก ซึ่งในวันนี้จะมาถ่ายทอดประสบการณ์เปลี่ยนความกลัวของผู้ป่วยมะเร็งให้เป็นพลังที่เข้มแข็ง

 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

โดยนำหนึ่งในเรื่องราวจากพี่สาว“ภาณุมาศ วิรัตน์เศรษฐสิน” ในวัย 70 ปี อดีตผู้ป่วยมะเร็งกระดูก ที่มีจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ เพียงแค่อุบัติเหตุเดินหกล้ม แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะนำมาสู่โรคที่ทุกคนหวาดกลัว ไม่มีใครอยากพบเจอ และสิ่งที่ร้ายลึกไปกว่านั้นมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่กำลังลุกลามอย่างไม่รู้ตัว กลายเป็นโรคที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ย้อนกลับไปปี 61 โรคที่คนในครอบครัวไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ได้เข้ามาใกล้ตัวพี่สาวของเธอทุกขณะ โดยก่อนที่จะรู้ว่าพี่สาวป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ น้องสาวคนนี้พาพี่สาวไปตรวจกับแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แพทย์วินิจฉัยว่า อุบัติเหตุหกล้มทำให้มีอาการเคล็ดขัดยอก ข้อยึด หรือข้อติด จึงสั่งจ่ายยาบรรเทาอาการปวด เพื่อรักษาอาการที่ไม่สามารถเดินทิ้งน้ำหนักลงขาทั้ง 2 ข้างได้ ซึ่งมักจะรู้สึกเจ็บที่บริเวณสะโพกตลอดเวลา แต่ด้วยอายุ รูปร่างเล็ก และเป็นคนที่มวลกระดูกน้อยจึงไม่ได้สังหรณ์ใจว่าจะมีโรคภัยร้ายใดเข้ามาในชีวิต

 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

กระทั่งอาการปวดทวีความรุนแรงมากขึ้น พี่สาวของเธอแทบจะเดินไม่ไหว สุดท้ายตัดสินใจทำ MRI ตรวจจนแพทย์ยอมรับว่า “ผมน่าจะ…วินิจฉัยผิดพลาด” เพราะผลการตรวจปรากฏว่าพี่สาวของเธอป่วยเป็น“โรคมะเร็งกระดูก” ซึ่งถ้าได้ฟังแบบนั้น เป็นคุณจะรู้สึกอย่างไรและแย่แค่ไหน?

 

ใช่แล้ว…ทางครอบครัวเลือกที่จะไม่พูดถึงคำว่า “มะเร็ง” ให้ผู้ป่วยได้ยิน แม้จะถูกถามว่า “พี่ป่วยเป็นมะเร็งใช่ไหม” ซึ่งคำตอบก็มีเพียง “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” แต่คนในครอบครัวก็ไม่มีใครยอมปริปากพูด กลั้นความรู้สึกอันแสนเจ็บปวดเอาไว้ข้างใน บอกไปเพียงว่า…“พี่เป็นหนักนะ ต้องรักษากับแพทย์หลายสาขา”

 

เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา โรงพยาบาลได้เตรียมแพทย์อยากหลายสาขามาก และสำรองเลือดไว้ 15 ถุง เพราะสิ่งที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ…มะเร็งลุกลามกัดกินไปที่ปอดเรียบร้อยแล้ว แพทย์แจ้งว่า …อาจจะต้องตัดขาทิ้งนะครับ” เพื่อรักษาชีวิตคนไข้ แต่จะพยายามให้เป็นทางเลือกสุดท้าย

 

“เรารู้ดีเพราะตัวเราจบพยาบาล การรักษาไม่จบที่การผ่าตัด ยังต้องดูแลหลังจากนั้นอีกมาก ในเมื่อรู้ว่าสุดท้ายแล้วไม่มีวิธีไหนรักษาคนที่เรารักได้ เราก็เลยตัดสินใจไม่บอก เพราะอยากให้พี่สาวมีความสุข อีกอย่างธรรมชาติของมะเร็ง ถ้าลุกลามไปจนถึงอวัยวะอื่น ก็คือเป็นระยะสุดท้าย ระยะที่ 4 ซ้ำโอกาสหายขาดก็มีน้อยลงทุกที” ผช.ศ.ดร.กมลมาลย์ กล่าวให้ฟัง

 

ในขณะนั้นในหัวของเธอกลัวว่าพี่สาวจะเสียชีวิต แต่เธอก็รับไม่ได้ที่จะต้องเห็นพี่สาวทนทุกข์ทรมานจากการรักษาจนถึงวาระสุดท้าย วิธีใดที่คิดว่าดีและสามารรักษาชีวิตเอาไว้ได้ หนึ่งวิธีคือ การหยดสารบางอย่างใต้ลิ้นวันละ 10 หยด แต่ผ่านไปได้ไม่นาน หลานคนหนึ่งนำข้อมูลของโรงพยาบาลจีนมาเล่าให้ฟัง จึงทราบว่าเป็นโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวสแตมฟอร์ด และในวันรุ่งขึ้นแพทย์ได้นัดเข้ามาพบพี่สาวเพื่อดูอาการเบื้องต้นที่บ้าน และขอประวัติการรักษากลับไป จากนั้นไม่นานตอบรับพี่สาวเธอเป็นคนไข้ของโรงพยาบาล

 

เธอบันทึกไว้ว่า วันที่ 30 ก.ย. 61 เป็นวันที่พี่สาวเดินทางไปรักษาที่ประเทศจีนโดยมีหลาน 3 คนเดินทางไปดูแลในเบื้องต้น เพราะขณะนั้นเธอยังไม่เกษียณอายุงาน ทั้งนี้การรักษาในระยะแรกภายใน 1 เดือน แบ่งออกเป็น 2 วิธี 1.การผ่าตัดด้วยเทคนิคความเย็น คือ การผ่าตัดด้วยมีดฮีเลียมอาร์กอนบาดแผลเล็ก และ 2.เคมีบำบัดเฉพาะจุด ผ่านทางหลอดเลือดแดง จากนั้นพักฟื้นร่างกายจึงกลับไปมารักษาต่อด้วยวิธีเคมีบำบัดเฉพาะที่ผ่านหลอดเลือดแดงซ้ำอีกรอบ

ผช.ศ.ดร.กมลมาลย์ พูดกับตัวเองว่า …เราเลือกถูกทางแล้วใช่ไหม ที่พาเขามารักษาที่นี่ นึกไปจนถึงหากพี่สาวเสียชีวิตก็จะจัดงานศพที่นี่ และตอนนั้นผลการรักษาในช่วงแรกยังไม่ออกมา ครอบครัวจึงยึดติดกับคำตอบของหมอที่เมืองไทย”

 

เมื่อผลการรักษาในรอบแรกออกมา ปรากฏว่ามะเร็งได้หยุดลุกลามและผลเป็นที่น่าพอใจของแพทย์ และเป็นสัญญาณทำให้ทุกคนในครอบครัวที่ทราบข่าวมีรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของคนไข้ก็กลับมาสดใส แต่แพทย์ก็ได้แจ้งว่า…อย่าได้เบาใจไป เพราะเซลล์มะเร็งยังอยู่รอบเส้นประสาทบริเวณกระดูกสะโพก

 

 

จากนั้นแพทย์ลงความเห็นแล้วว่า จะรักษาด้วยวิธีผสมผสานแบบแพทย์แผนปัจจุบันจำนวน 3 ครั้ง แต่ละครั้งจะต้องพักฟื้นที่ประเทศจีนนาน 2 สัปดาห์ และสามารถควบคุมเซลล์มะเร็งได้ราว 2 เดือน กระทั่งรักษาครบระยะเวลา 6 เดือน ผลการตรวจหาค่ามะเร็งครั้งล่าสุดในวันที่ 18 พ.ค.62 แพทย์แจ้งว่าเซลล์มะเร็งไม่มีเหลือแล้ว โรคได้สงบลง ซึ่งจะครบกำหนดพบแพทย์อีกครั้งหนึ่งในวันที่ 28 ธ.ค.62

 

อย่างไรก็ตามเรื่องราวทั้งหมด ตลอดจนวิธีการดูแลผู้ป่วย นับเป็นแรงบันดาลใจให้ ผช.ศ.ดร.กมลมาลย์ นำมาร้อยเรียงเขียนเป็นหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “เทคโนโลยีใหม่ อาหาร ความเข้มแข็ง และมะเร็ง” ซึ่งอาศัยความรู้พื้นฐานศิษย์เก่าจากคณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประสบการณ์การทำงานจนเกษียณอายุงาน แบ่งปันความรู้ให้แก่ผู้ที่ตกอยู่ในสภาพเช่นครอบครัวของเธอ

 

น้องสาวผู้นี้ได้สอดแทรกความรู้ด้านอาหารอินทรีย์และสมุนไพรต่าง ๆ ที่ช่วยป้องกันเซลล์มะเร็ง อาทิ “เปลือกต้นคัดเค้า” ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงต่อสู้กับเชื้อโรค หรือจะเป็น“งาขี้ม้อน” พืชตระกูลสะระแหน่ที่มีโอเมก้าสูงกว่าปลาแซลมอน และอีกชนิดคือ “งวงตาล” เป็นตาลตัวผู้ มีฤทธิ์กระตุ้นความอยากอาหาร จึงเหมาะกับผู้ป่วยที่เบื่ออาหาร ส่วนสมุนไพรทางภาคเหนือชื่อว่า “พลูคาว” เป็นผักพื้นเมืองกินแกล้มกับลาบทางเหนือ มีสรรคุณช่วยป้องกันเชื้อโรค แบคทีเรียและไวรัสได้

 

แต่สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากคือ…การสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ป่วยได้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ด้วยการมองชีวิตอย่างรู้คุณค่าในตัวเอง เพราะหากความเข้มแข็งเกิดขึ้นได้จากตัว “ผู้ป่วย” มองเห็นคุณค่าในตัวเอง ถึงแม้ความรักจากคนรอบข้างจะมีมากเพียงใด แต่ถ้าผู้ป่วยยังไม่เข้มแข็งออกมาจากหัวใจตัวเอง กำลังใจจากคนรอบข้างก็จะเป็นเพียงแรงสนับสนุนเท่านั้น สุดท้ายไม่อาจทำให้คนไข้เชื่อได้ว่า…จะหายจากโรคได้จริง

 

ฉะนั้นอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับตัวของผู้ป่วยเอง เพราะพื้นฐานความเข้มแข็งเริ่มต้นด้วยความเข้าใจในตัวเอง.

………………………………………..

คอลัมน์ : นิยายชีวิตอาทิตย์สไตล์

โดย “ทวีลาภ บวกทอง”

คลิกติดตามอ่านคอลัมน์นิยายได้ทั้งหมดที่นี่

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 13
  • Ann
    คนมีเงินยังก็รอดคะ ถ้าคนจนตายอย่างเดียว
    23 พ.ย. 2562 เวลา 17.30 น.
  • แม่ป่วย เมษา 62 จากอ่อนเพลียเหนือยชีดจนท้องโต หมอนัดไปรัษาทุกเดือนพอเดือนตุลา 62 แม่เดินไม่ไหว ชีดท้องโตมากๆ จึงกลับบ้านไปหาแม่ถามแม่หมอว่าไง แม่บอกว่าหมอว่าเป็นหลายโรค แต่แม่เดินไม่ไหวแล้วต้องประคอง เลยพาไป !คลีนิค หมอที่คลีนิค !เห็นสภาพกดดูคอม ถามว่าไป รพ.มานิแล้วทำไมเขาไม่เอาตัวไว้ พอหมอที่คลีนิค อัลตาร์ชาว์ เท่านั้นละมะเร็งตับระสุดท้ายอยู่ไม่เกิน 6เดือนเลยส่งศูนย์มะเร็ง ศูนย์มะเร็งทำmri เสร็จแจ้งญาติ,สามี,ลูกอยู่ได้แค่2เดือนผ่านมาเดือนแล้ว ตอนนี้นอนอย่างเดียวอาหารเหลว รัษารพ6เดือนไม่รู้ไรเลย
    23 พ.ย. 2562 เวลา 17.28 น.
  • Sweed_ream
    ดีใจด้วยค่ะ🙏
    23 พ.ย. 2562 เวลา 17.16 น.
  • VJ Chen
    เพิ่งปีเดียวอย่าลิงโลด มะเร็งแรกๆ มันก็อ่อนหัดเพราะยังไม่เคยเจอยา แต่มันตะมีเซลล์ที่รอดหลบอยู่ เซลล์มะเร็งมีการแบ่งตัวและ mutation ไม่สิ้นสุด จนในที่สุดมันจะได้ geneที่ดื้อยา ไม่ต้องกลัวเมื่อมันกลัยมาใหม่ จะรุนแรงกว่านี้มาก พ่อเป็นมะเร็งปอด ตอนอายุ 76 ด้วยวัยที่มาก หมอจึงให้ยาที่เรียกว่า target therapy ด้วยtarcevaชนิดเดียว เซลล์มะเร็งสลายหมด หายไป 3ปี วันร้ายคืนร้าย มันมาใหม่คราวนี้มาเต็มช่องท้อง ช่องอก กลืนน้ำลายพ่อบอกเหมือนโดนมีดแทง ทรมานอยู่ 3เดือนพ่อจึงเสีย โดย 2สัปดาห์​สุดท้าย
    23 พ.ย. 2562 เวลา 22.36 น.
  • sulek
    การมีพี่น้องที่ดีและรักกันมันดีมากกว่าสิ่งใดช่วยเหบือในยามป่วยยามแก่เฒ่าเหมือนได้ของขวัญจากสวรรค์
    23 พ.ย. 2562 เวลา 23.46 น.
ดูทั้งหมด