ณ ซูเปอร์มาร์เก็ตของห้างดังกลางเมืองแห่งหนึ่ง
ขณะที่ผมยืนต่อคิวเพื่อจ่ายเงินที่แคชเชียร์พร้อมถุงผ้า ในตะกร้ารถเข็นมีเพียงหมากฝรั่ง 2-3 กล่อง กับข้าวสาร 1 กิโลฯ ตามคำสั่งภรรยาที่ขอกึ่งไล่ให้ผมรีบออกบ้านไปซื้อของตกสำรวจรอบสุดท้ายให้น้องพอล ก่อนที่เราทั้งหมดจะบินฝ่าไวรัสโคโรน่าขึ้นเครื่องเหินฟ้าไปพักผ่อนกึ่งทำงานกันที่ลอนดอนคืนนี้
ผู้หญิงที่ยืนจ่ายเงินอยู่ข้างหน้าผมเป็นฝรั่งผมบลอนด์ซอยสั้น แต่น่าจะอยู่บนโลกนี้มานานไม่ต่ำกว่า 50 ปี
ด้วยหางตาผมบอกได้ว่า เธอคนนี้ลนลานหันรีหันขวางกลับมามองหน้าผมซ้ำๆ กันอย่างน้อยสามถึงสี่ครั้งได้ ภายในเวลาไม่ถึง 10 วินาทีที่ผ่านมา ครั้นจะนึกคิดไปว่าฝรั่งคนนี้เป็น FC เราก็ไม่น่าจะโกอินเตอร์ได้เบอร์นั้น หรือเราจะหล่อฝรั่งตะลึงทะลุเชื้อชาติก็ไม่น่าใช่อีก เลยตัดสินใจจบการเดาแบบเข้าข้างตัวเองนี้ แล้วหันไปสบตาพร้อมกับยิ้มให้ในระดับเจือจาง เปิดทางให้นางเริ่มต้นบทสนทนาอย่างทันทีว่า…
“Where is your mask?!?!”
(หน้ากากของคุณอยู่ที่ไหน)
นางถามด้วยน้ำเสียงดุดัน
“Oh! I don’t …” ยังไม่ทันจะจบประโยค และสารภาพว่าผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบว่าอะไร เพราะจริงๆ ก็คือผมไม่ได้ตั้งใจจะใส่นั่นแหละ
“Go get it! You are selfish!!” (ไปหามาใส่ซะ เธอมันเห็นแก่ตัว) นางพูดสวนทันที พร้อมเอานิ้วชี้มาที่หน้าผมด้วย ก่อนสะบัดบ๊อบโกยของเดินจากไปอย่างคนที่ไม่พอใจอย่างมาก
บอกตรงๆ ผมยืนอึ้งงงอยู่อย่างน้อย 5 วินาที ไม่ใช่เพราะผมไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ แต่เพราะตกใจ และกำลังพิจารณาตัวเองอยู่อย่างหนักหน่วงว่าหรือผมจะบกพร่องในความรับผิดชอบต่อตนเองและสาธารณะจริงๆ ดังเธอว่า พร้อมกันทันทีที่ผมรีบหันมองรอบตัวว่ามีสัดส่วนของคนใส่หน้ากากมากน้อยเพียงใด ซึ่งหลังจากประเมินแล้วไม่น่าเกิน 20% แล้วทำไมเธอต้องมาเลือกขว้างระเบิดใส่ผมด้วยวะครับ
เธอคงคิดว่าผมทำผิดมาก…
มากเสียจนเธอจะทำอะไรก็ถูกมากไปเสียหมด จนลืมไปว่าความหยาบคายก็ร้ายไม่แพ้ไวรัสชนิดใดในโลก
ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ที่เคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบินแห่งชาติ
ขณะที่ผมลงจากรถ ภรรยาผมหยิบหน้ากากที่เตรียมพร้อมอย่างดีในถุงซิปล็อกออกมาปึกหนึ่ง แล้วแจกจ่ายให้กับทุกคน พร้อมกับหยิบหน้ากากขนาดพิเศษอันเล็กมาใส่ให้กับเบบี้พอล วัย 1 ขวบ 8 เดือนที่เหมือนว่าจะยอมใส่ให้ความร่วมมือแต่โดยดี แต่ระหว่างทางจากรถจนถึงจุดเอกซเรย์เสร็จนั้น น้องพอลหยิบหน้ากากแล้วทิ้งลงพื้นไปรวม5อันแล้วจ้ะ เราต่างสรุปใจกันว่า สิ่งนี้คือทฤษฎีที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงอีกต่อไป แล้วตัดใจเดินหน้าเปลือย โดยมีเพียงผมเท่านั้นที่เดินอุ้มลูกแล้วปล่อยหน้ากากค้างหน้าไว้ อยู่คนเดียว
“ใส่หน้ากากให้ตัวเองได้ แต่ไม่ใส่ให้ลูกเนอะ”
ไม่รู้ว่าเพราะหูผมดี หรือพี่คนนี้ซวยนะ เลยต้องมาได้ยินกับอะไรประมาณนี้ ซ้ำเข้าไปอีก เมื่อผมหันไปตามเสียงก็ได้พบกับคุณแม่ในอุดมคติท่านหนึ่งที่ตวัดสายตามองมาที่ผม พร้อมชักสีหน้าใส่ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งตัวเธอเองและคุณลูกในรถเข็นอายุน่าจะประมาณ 5 ขวบได้ ต่างก็ใส่หน้ากากรุ่นมหัศจรรย์ที่มีช่องเปิดปิดมากมายแบบพร้อมสรรพสำหรับอนาคต และกำลังคุกเข่าเอาแอลกอฮอล์ล้างมือกันอยู่กันใหญ่
ผมไม่ได้ไม่พยายามนะ แต่มันไม่สามารถปฏิบัติได้จริงกับเด็กขวบกว่าๆ
คำถามก็คือในสถานการณ์เช่นนี้
ถ้าผมตัดสินใจสั่งให้ทุกคนในครอบครัวผมถอดหน้ากากตามลูก แล้วทิ้งไปทั้งหมดเลย จะช่วยทำให้พวกเราดูเป็นบุพการีที่ดีขึ้นไหมวะครับ
เธอคงคิดว่าเธอทำดีมาก…
มากเสียจนผมกลายเป็นคนที่ทำผิดจนทำให้เธอลืมคิดไปว่ามารยาทที่ไม่งดงาม ก็อาจเป็นโรคติดต่อที่เลวทรามต่อลูกของเธอได้เช่นกัน
ณ สนามบินฮีทโธรว์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ขณะที่ผมยืนใส่หน้ากาก ต่อแถวเพื่อรอจ่ายเงินซื้อน้ำส้มคั้นสดเพราะคิดว่าทุกคนควรจะได้รับวิตามินซีจากส้มธรรมชาติไว้เสริมภูมิคุ้มกันสู้ไวรัส หลังจากที่เพิ่งลงจากเครื่องบินกันมาสักหน่อยนั้น
“Are you sick? If so, you should stay home not here!!”
(นี่เธอป่วยเหรอ ถ้าป่วยทำไมไม่อยู่บ้าน มาอยู่ตรงนี้ทำไม!!)
ลุงฝรั่งที่ยืนรอต่อคิวจ่ายเงินหลังผมเปิดบทสนทนาด้วยประโยคคำถามนี้ พร้อมกับถอยหลังเว้นระยะ 1 ก้าวไปยืนขมวดคิ้วอย่างดูไม่พอใจ
“No, I m not.” ผมตอบพร้อมกับดึงหน้ากากลงมายิ้มด้วยตั้งใจจะโชว์ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อดูสุขภาพดีให้คุณลุงคนนี้ซะหน่อย
“Then…why are you wearing a mask?!?”
(อ้าวถ้าไม่ป่วยแล้วเธอจะใส่หน้ากากไปทำไม)
ลุงฝรั่งคนเดิมถาม แล้วถอนหายใจเสียงดังจนปากสั่นพร้อมกับส่ายหน้าแบบเหนื่อยใจ แทนคำด่าว่าทำไมแกถึงได้ทำอะไรที่ดูงี่เง่าเสียจริง
“คุณอั๋นครับ สังเกตสิว่าคนที่ลอนดอนนี่เค้าไม่ใส่หน้ากากกันจริงๆ ครับ ถ้าไม่ป่วยหรือต้องไปในสถานที่เสี่ยง เพราะเขาถือว่ามันรบกวนการใช้ชีวิตที่เป็นปกติสุขของเขา และรัฐบาลต้องทำหน้าที่ดูแลจัดการความเสี่ยงนี้ให้ประชาชนได้มีชีวิตที่ปลอดภัยเป็นปกติสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่างที่ต่างถิ่นต่างมุมมอง ความคิดและพื้นฐานวัฒนธรรมก็ต่างกันแหละครับ”
คนขับรถลิมูซีนที่มารับผมที่สนามบินตอบหลังจากที่ผมเล่าให้เค้าฟังว่าผมเพิ่งเจอกับอะไรมาก่อนที่จะขนกระเป๋าขึ้นรถวันนี้
ผมเข้าใจและเคารพมากๆ เลยจริงๆ ว่าคนเราแต่ละคนนั้นมีความระแวดระวัง วิตกจริตได้ในระดับที่แตกต่างกันในภาวะแห่งความสับสน ความไม่รู้ และความกลัวแบบนี้ ผมจึงนิ่งและเริ่มต้นด้วยการพิจารณาตนเองก่อนทุกครั้งว่า เอ๊ะ หรือเราเองที่ผิด ที่บกพร่อง ที่ประมาท ที่ไม่ให้ความร่วมมือมากพอหรือเปล่า ก่อนที่จะรีบตอบ รีบปะทะ หรือชักสีหน้ากลับไป แต่เดี๋ยวนะ ถ้าเราไม่ได้เป็นผู้ป่วย การจะเลือกใส่หรือไม่ใส่หน้ากากนั้น มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล และความสมัครใจไม่ใช่หรือ
ครั้นจะบอกว่าเป็นการขอความร่วมมือก็อาจจะยังไม่ถึงระดับนั้นด้วยซ้ำไป จะใช่ก็น่าจะเป็นเพียงแค่คำแนะนำเท่านั้น เพราะคนไทยหลายคนที่ตั้งใจอยากจะใส่ ก็ยังหาซื้อหน้ากากกันไม่ค่อยได้เลย แล้วทำไมถึงต้องแสดงท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ต่อกันแบบนี้
ไม่ได้มีเจตนาจะมาบอกว่าควรใส่หรือไม่ควรใส่หน้ากาก
ไม่ได้เก่งหรือเชี่ยวชาญพอจะชี้ชัดว่า ใครถูกหรือผิด คิดมากไปหรือคิดน้อยไปในสถานการณ์แบบนี้
แต่มั่นใจเหลือเกินว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราสามารถเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมได้โดยไม่เห็นต้องหยาบคายใส่กัน
และคนที่ปฏิบัติต่างจากเรานั้นก็ไม่ใช่ว่ามันคือความเห็นแก่ตัวเสมอไป
เราสามารถทำดีได้ในแบบของเราโดยที่แบบของเขาก็อาจจะดีได้ไม่แพ้กัน เพราะโลกกลมๆ ใบนี้มีบริบทที่แตกต่างกัน แม้เราจะทำถูกแต่อยู่ผิดที่ ถูกนั้นก็กลายเป็นผิดได้ ในขณะที่แม้เราจะทำผิด แต่อยู่ถูกที่ ผิดนั้นก็กลายเป็นถูกได้เช่นกัน
ไม่ว่าที่สุดแล้วไวรัสโคโรน่านี้จะระบาดไปไกลถึงระดับไหน อย่าปล่อยให้มันกลายเป็นโรคติดต่อทางใจที่ทำให้เรามีมารยาทกันน้อยลง
และไม่ว่าสิ่งที่ผมหรือพวกเราอีกหลายคนทำไปจะผิดบ้าง ไม่ถูกบ้างในสายตาใคร สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจก็คือ เราต่างสามารถเป็นคนถูกที่สุภาพ และคนผิดที่น่ารักได้มากกว่านี้กันอีกตั้งเยอะ
--
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก อั๋น ภูวนาท ได้ทุกวันจันทร์ บน LINE TODAY
✨✨🌸Joy🌸✨✨ เพื่อนคนไทยอยู่ต่างประเทศโดนเหยียดเยอะมาก เข้าใจเลยค่ะว่าไวรัสที่น่ากลัวคือความคิดแย่ๆของคน
17 ก.พ. 2563 เวลา 08.35 น.
Natachai บทความกลิ่นอาย negative
17 ก.พ. 2563 เวลา 08.47 น.
คุณไนท์ เขียนดีทีเดียว เห็นด้วยมากๆกับบทสรุปสุดท้าย
17 ก.พ. 2563 เวลา 08.47 น.
mook แหม่มคนนั้นนึกว่าอั๋นเป็นคนจีนไง โรคกลัวคนเอเชียแบบเหมารวม
17 ก.พ. 2563 เวลา 10.11 น.
Tehn&Tel การเขียนเหมือนจะดีแต่ไม่โอเค
17 ก.พ. 2563 เวลา 09.28 น.
ดูทั้งหมด