หุ้น การลงทุน

ดาวโจนส์ ปิดตลาดบวก 674.62 จุด หลังนลท.เข้าช้อนซื้อหุ้นราคาถูก

การเงินธนาคาร
อัพเดต 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 68 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ดัชนี ดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดดีดตัวขึ้น หลังจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นราคาถูกในช่วงสิ้นสุดสัปดาห์ที่ผันผวนซึ่งเกิดจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนนำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและทำให้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลดลง

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรม ดาวโจนส์ ปิดที่ 41,488.19 จุด เพิ่มขึ้น 674.62 จุด หรือ +1.65%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,638.94 จุด เพิ่มขึ้น 117.42 จุด หรือ +2.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,754.09 จุด เพิ่มขึ้น 451.07 จุด หรือ +2.61%

แรงซื้อทั่วตลาดช่วยหนุนให้ดัชนีหลักทั้ง 3 ตัวของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ถูกเทขายอย่างหนักก่อนหน้านี้สามารถฟื้นตัวขึ้นได้

หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ซึ่งเป็นหุ้น 7 บริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูงที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่างปรับตัวขึ้นทั้งหมด แม้ว่า 6 ตัวในกลุ่มนี้ยังคงติดลบในปีนี้ก็ตาม

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นในวันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย.ซึ่งเป็นวันหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

หุ้นกลุ่มหุ้นเซมิคอนดักเตอร์พุ่งขึ้น 3.3% ขณะที่หุ้นกลุ่ม FANG ซึ่งเป็นหุ้นเทคโนโลยีที่ประกอบไปด้วยหุ้นเฟซบุ๊ก (Facebook), หุ้นอะเมซอน (Amazon.com), หุ้นเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) และหุ้นกูเกิล (Google) พุ่งขึ้น 3.2%

รอสส์ เมย์ฟิลด์ นักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนจากบริษัทแบร์ด (Baird) ในเมืองลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกีกล่าวว่า "ผมไม่เห็นปัจจัยที่จะทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นแรงขนาดนี้ เราปรับตัวลงมา 10% จากจุดสูงสุดตลอดกาลและอยู่ในภาวะขายมากเกินไป (oversold) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ดีสำหรับการทะยานขึ้น แม้ว่ายังมีปัญหาด้านปัจจัยพื้นฐานก็ตาม"

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดดีดตัวขึ้นในวันศุกร์ แต่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ก็ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ก็ยังคงลดลงต่อจากสัปดาห์ก่อน

ปัจจัยบวกจากข้อมูลเงินเฟ้อที่ออกมาในวันพุธและพฤหัสบดีได้ถูกบดบังด้วยความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ซึ่งรวมถึงการขู่ขึ้นภาษีกับคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ

ความไม่แน่นอนเหล่านี้ทำให้นักลงทุนหนีออกจากตลาดหุ้นไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำซึ่งราคาพุ่งทะลุระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เป็นครั้งแรก

เจด เอลเลอร์โบรค ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอจากบริษัทอาร์เจน แคปิทัล (Argent Capital) ในเมืองเซนต์หลุยส์กล่าวว่า "ตลาดไม่ชอบประเด็นเรื่องภาษี ซึ่งเพิ่มความไม่แน่นอน ทำให้การวางแผนและการตัดสินใจลำบากขึ้น ทรัมป์กำลังสร้างความปั่นป่วน ที่ปรึกษาของเขาพูดถึงการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ บ้างก็บอกว่าอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรืออาจไม่เกิด มันเป็นความไม่แน่นอนที่สร้างผลกระทบที่ไม่ดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น"

ความวิตกกังวลนี้สะท้อนให้เห็นในรายงานของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งระบุว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงสู่ระดับที่แย่ที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี และการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะ 1 ปีข้างหน้าพุ่งขึ้นเป็น 4.9%

รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับผลสำรวจล่าสุดของรอยเตอร์/อิปซอสส์ (Reuters/Ipsos) ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 11-12 มี.ค. โดยพบว่า 57% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า นโยบายของทรัมป์จะสร้างผลเสียมากกว่าผลดี

ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันศุกร์ (14 มี.ค.) นำโดยตลาดหุ้นเยอรมนี หลังพรรคการเมืองบรรลุข้อตกลงเพิ่มการกู้ยืมภาครัฐครั้งประวัติศาสตร์

ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 546.60 จุด เพิ่มขึ้น 6.16 จุด หรือ +1.14%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,028.28 จุด เพิ่มขึ้น 90.07 จุด หรือ +1.13%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 22,986.82 จุด เพิ่มขึ้น 419.68 จุด หรือ +1.86% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,632.33 จุด เพิ่มขึ้น 89.77 จุด หรือ +1.05%

ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดบวกในวันศุกร์ (14 มี.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มกลาโหมและเหมืองแร่ แม้ความกังวลเรื่องภาษีสหรัฐฯ กดดันตลาดตลอดทั้งสัปดาห์ก็ตาม

ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,632.33 จุด เพิ่มขึ้น 89.77 จุด หรือ +1.05% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 เดือน

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นในวันศุกร์ (14 มี.ค.) และปิดตลาดในสัปดาห์นี้แทบไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มที่ลดลงของการยุติสงครามในยูเครนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการยุติสงครามนั้นอาจทำให้มีพลังงานจากรัสเซียกลับเข้าสู่ตลาดตะวันตกมากขึ้น

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 0.95% ปิดที่ 67.18 ดอลลาร์/บาร์เรล

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 70 เซนต์ หรือ 1.0% ปิดที่ 70.58 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดพุ่งขึ้นทะลุ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในวันศุกร์ (14 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 9.80 ดอลลาร์ หรือ 0.33% ปิดที่ 3,001.10 ดอลลาร์/ออนซ์

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโรในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์ก ในวันศุกร์ (14 มี.ค.) แต่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสและเยน โดยได้แรงหนุนจากแนวโน้มที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะชัตดาวน์ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลังมีรายงานว่าการคาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ยูโรแข็งค่าขึ้นในวันศุกร์ หลังจากพรรคการเมืองในเยอรมนีบรรลุข้อตกลงด้านการคลัง ซึ่งอาจช่วยเพิ่มงบประมาณกลาโหมและกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.1% แตะที่ระดับ 103.719

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับ ตลาดหุ้นทั้งไทยและเทศ ได้ที่นี่

คลิกเพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมงาน

ดูข่าวต้นฉบับ