วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2562 ศิลปวัฒนธรรมจัดกิจกรรมสโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา ในหัวข้อ “ธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยาม” โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ มาเป็นวิทยากร พร้อมกับคุณธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ
อ.ธงทองและคุณธงชัย อธิบายให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับสยามในหลายแขนงไว้มาก ซึ่งเป็นประโยชน์ผู้สนใจศึกษาสังคม การเมือง ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมในต้นยุครัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะพระราชนิพนธ์เรื่อง “ธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยาม”
“ธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยาม” พ.ศ. 2421 แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ในการศึกษาตำราโบราณและกฎมณเฑียรบาล ซึ่งพระองค์ทรงศึกษาศาสตร์แขนงต่าง ๆ จากครูอาจารย์มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ซึ่งพระบรมราชชนกทรงกวดขันในฐานะ“ผู้อำนวยการหลักสูตร” ตามที่คุณธงชัยได้เปรียบเปรยไว้
ธรรมเนียม “เจ้านาย” ของกรุงรัตนโกสินทร์นั้นแตกต่างกับเจ้านายราชวงศ์อื่น ยกตัวอย่างเจ้านายฝ่ายเหนือไม่ว่าจะสืบเชื้อสายมากี่รุ่นจะยังคงรักษาความเป็น “เจ้า” ไว้เสมอ ในขณะที่เจ้านายของกรุงรัตนโกสินทร์นั้นแตกต่างออกไป กล่าวคือ เชื้อพระวงศ์ที่ถือเป็นเจ้านายชั้นสุดท้ายคือ “หม่อมเจ้า” และในชั้นรองลงมาคือ “หม่อมราชวงศ์” และ“หม่อมหลวง” นั้นให้ถือเป็นสามัญชน
อ.ธงทอง เน้นย้ำว่าการจะเข้าใจในเรื่องธรรมเนียมเหล่านี้ต้องเข้าใจบริบทของสังคมในขณะนั้น เพราะในพระราชนิพนธ์นี้มีรายละเอียดปลีกย่อยมาก แม้แต่การเฉลิมพระยศของวังหน้ากับวังหลวงก็มีรูปแบบต่างกันอีกด้วย อ.ธงทองจึงกล่าวโดยสรุปให้เห็นเป็นภาพกว้าง ๆ โดยแบ่งธรรมเนียมการเฉลิมพระยศเจ้านายออกเป็น 2 ประการคือ “สกุลยศ” และ “อิสริยยศ”
สกุลยศ
“สกุลยศ” คือพระยศที่ได้มาตั้งแต่ประสูติ หากพระราชโอรสหรือพระราชธิดาประสูติแต่ “เจ้าจอมมารดา” หรือ “สามัญชน” จะได้พระยศชั้น “พระองค์เจ้า” (พระองค์เจ้ายังมีอีกหลายแบบ) และหากพระราชโอรสหรือพระราชธิดาประสูติแต่พระมารดาที่เป็น “เจ้า” จะได้พระยศชั้น “เจ้าฟ้า”
พระราชโอรสชั้นเจ้าฟ้ายังแบ่งออกเป็นอีกสองชั้นคือ “เจ้าฟ้าชั้นเอก” และ “เจ้าฟ้าชั้นโท” ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับพระยศของผู้เป็น “แม่” อีกว่ามีสายสัมพันธ์อย่างไรกับพระเจ้าอยู่หัวฯ
หาก “แม่” เป็น “ลูก” ของพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลก่อน ๆ กรณีนี้คือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี
ซึ่งทั้ง 4 พระองค์เป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 4 ดังนั้นพระราชโอรสหรือพระราชธิดาจึงจัดอยู่ในชั้น “เจ้าฟ้าชั้นเอก” ชาววังจะขานพระนามว่า “ทูลกระหม่อมชาย” หรือ “ทูลกระหม่อมหญิง”
หาก “แม่” เป็น “หลาน” ของพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลก่อน ๆ ในกรณีนี้คือ พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคย์นารีรัตน์ พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าอุบลรัตนนารีนาค กรมขุนอรรควรราชกัลยา และพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฏ
ซึ่งทั้ง 3 พระองค์เป็นพระราชนัดดาในรัชกาลที่ 3 ดังนั้นพระราชโอรสหรือพระราชธิดาจึงจัดอยู่ในชั้น“เจ้าฟ้าชั้นโท” ชาววังจะขานพระนามว่า “สมเด็จชาย” หรือ “สมเด็จหญิง”
อิสริยยศ
“อิสริยยศ” คือพระยศที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าอยู่หัว แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือการเลื่อนพระยศ เช่น เลื่อนพระยศจากชั้นพระองค์เจ้าเป็นเจ้าฟ้า และการ “ทรงกรม” ซึ่งการทรงกรมนี้ปรากฏมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา การทรงกรมเป็นพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แก่เชื้อพระวงศ์เพื่อเป็นพระเกียรติยศเนื่องจากได้ช่วยเหลืองานราชการแผ่นดิน
การเฉลิมพระยศเจ้านายทั้งแบบ “สกุลยศ” และ “อิสริยยศ” นั้นไม่ได้ตายตัวหรือยึดติดกับประเพณีและกฎมณเฑียรบาล โดยจะขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยหรือพระราชนิยมของพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล เช่น
รัชกาลที่ 4 มีพระราชดำริจะพระราชทานพระอิสริยยศแก่พระราชโอรสหรือพระราชธิดาของเจ้าจอมสองพระองค์ที่เป็น “เจ้านายต่างชาติ” คือพระองค์เจ้ากำโพชราชสุดาดวง (เขมร) และเจ้าจอมตนกูสุเบีย (มลายู) จากชั้นพระองค์เจ้าเป็นชั้นเจ้าฟ้า แต่เจ้าจอมทั้งสองก็มิได้มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดา
รัชกาลที่ 5 มีพระราชนิยมจากการเฉลิมพระยศในต่างประเทศ โดยการนำชื่อเมืองมาต่อท้ายพระนาม เช่น Prince of Wales ของสหราชอาณาจักร จึงมีพระบรมราชวินิจฉัยนำชื่อเมืองในสยามมาทรงกรมให้เจ้านาย เช่น กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เป็นต้น
รัชกาลที่ 7 มีพระบรมราชวินิจฉัยเลื่อนพระยศเจ้านายในชั้นหม่อมเจ้าเป็นพระองค์เจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระโอรสหรือพระธิดาในพระเชษฐาของพระองค์ เช่น เลื่อนพระยศหม่อมเจ้ากัลยาณิวัฒนา มหิดล เป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา และหม่อมเจ้าอานันทมหิดล มหิดล เป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ทั้งนี้ อ.ธงทองอธิบายว่าเหตุที่รัชกาลที่ 7 ทรงเลื่อนพระยศเจ้านายนั้น เนื่องจากรัชกาลที่ 7 ทรงเล็งเห็นว่าเจ้านายในสมัยนั้นเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
รัชกาลที่ 9 มีพระบรมราชวินิจฉัยทรงกรมเจ้านายให้สอดคล้องกับพระบิดาของเจ้านายพระองค์นั้น ๆ เช่น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชครินทร์ ทรงกรมล้อกับ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ซึ่งทรงกรมหลวงสงขลานครินทร์ และ พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต ทรงกรมล้อกับ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้เป็นพระบิดา
ดังนั้นแล้วธรรมเนียมการเฉลิมพระยศ-พระอิสริยยศในแต่ละรัชกาลจึงเปลี่ยนแปลงไปตามพระบรมราชวินิจฉัยและพระราชนิยมของพระมหากษัตริย์ในแต่ละรัชกาล
ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 31 มกราคม 2562
5009 ในหลวงท่านทรงมีบุญญา ท่านคิดไว้ดีละ แต่คนในบ้านเราไม่เข้าใจแล้วจะแบ่งชนชั้นกันเองครับ
31 ม.ค. 2562 เวลา 16.37 น.
KunCooN อ่านสนุกได้ความรู้
31 ม.ค. 2562 เวลา 16.27 น.
สุดยอด
31 ม.ค. 2562 เวลา 16.22 น.
NONAME ดูจากการที่ม.ร.ว.กับม.ล.ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์ก็น่าจะพอรู้
31 ม.ค. 2562 เวลา 16.23 น.
ดูทั้งหมด