ใครที่เป็นแฟนสโมสร “ลิเวอร์พูล” ช่วงนี้คงนอนปลาบปลื้ม กระหยิ่มยิ้มย่องกันอย่างทั่วหน้า หลังเป็นแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในรอบ 30 ปีได้สำเร็จ ท่ามกลางอุปสรรคจากไวรัสมรณะ “โควิด-19” และแน่นอนว่า แฟนบอลตัวยงคงได้เห็น “Real Time” บนโลกโซเชียลมีเดีย ติดเทรนด์ยอดนิยมมากมาย
งานนี้ “เดอะ ค็อปส์”ต้องยกความดีความชอบให้กับ “สิงโตน้ำเงินคราม”เชลซี ที่เปิด “สแตมฟอร์ด บริดจ์” พิชิต “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ซิตี ทีมรองจ่าฝูง ท่ามกลางกองเชียร์ทางหน้าจอทีวี ร่วมลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ และร่ายมนตร์เพลงเตะ เป็นใจส่งผลให้ “หงส์แดง” การันตีคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรก
แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออย่างไร เพราะที่ผ่านมา “เชลซี” มักกลายเป็นทีมตัดสินแชมป์ หรือมีส่วนในการขัดขวางทีมอื่นมุ่งหน้าสู่แชมป์อยู่ตลอด โดยฤดูกาล 2004-05 พวกเขาตัดสินแชมป์ ให้กับตัวเอง หลังจาก “แฟรงค์ แลมพาร์ด” เหมาสองประตูพาทีมเอาชนะ “โบลตัน” ไปด้วยสกอร์ 2-0 ซึ่งเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ครั้งแรกในรอบ 50 ปีของ “สิงห์บลูส์”
ฤดูกาล 2013-14 “เชลซี” ได้สร้างรอยด่างให้กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในยุคของ “เบรนแดน ร็อดเจอร์ส” ที่กำลังขับเคี่ยวแย่งแชมป์กับ “แมนฯ ซิตี” โดยนำอยู่ 3 แต้ม และเกิดภาพช็อกโลก เมื่อ “เจอร์ราร์ด” ลื่นจนส่งผลให้เกมนั้น “หงส์แดง” พลาดท่าแพ้ให้กับ “เชลซี” คาถิ่น 0-2 และสุดท้าย “แมนฯ ซิตี” ก็ปาดหน้าคว้าแชมป์ไปครอบครอง
ล่าสุด ฤดูกาล 2019-20 จากความผิดพลาดของเกมรับ “แมนฯ ซิตี” และความเด็ดขาดในเกมรุกของ “เชลซี” ทำให้ “คริสเตียน พูลิซิช” และ “วิลเลียน” ยิงกันคนละตุงพาทีมเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 ยกแชมป์ให้ “ลิเวอร์พูล” หลัง “เรือใบ” ตามหลังถึง 23 แต้ม แต่เหลือโปรแกรมอีก 7 เกมก็ตาม
ส่วนหนึ่งต้องยอมรับผลงานในฤดูกาลนี้ของ “หงส์แดง” นั้นโคตรจะร้อนแรงเหนือคำบรรยายจริงๆ โดยลงสนาม 31 นัด ชนะถึง 28 เสมอ 2 และแพ้ไปแค่หนึ่งนัดถลุงไปถึง 70 ประตู และเสียแค่ 21 ประตู
คำถามที่ตามมาคือ ในฤดูกาลหน้า “หงส์แดง” จะต้านทานแรงกดดันจากทีมอื่นๆ ได้ดีแค่ไหน หรือยังคงรักษาฟอร์มมาตรฐานที่สร้างมาไว้อย่างเหนียวแน่นได้มากกว่านี้อีกหรือไม่ หรือว่า “แมนฯ ซิตี” เจ้าของตำแหน่งเดิมจะกลับมาท็อปฟอร์มทวงตำแหน่งของตัวกลับไปอีกครั้ง โดยจะมีทีมสอดแทรกอย่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เริ่มฟอร์มทีมจนลงตัวเรื่อยๆ มาเป็นอีกหนึ่งทีมร่วมลุ้นแชมป์ หรือแม้แต่ “เชลซี” ที่มีการเสริมทัพได้อย่างน่ากลัวจะขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิง ก็มีโอกาสเป็นไปได้ทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกล่าสุด แน่นอนว่า ยังมีขุมกำลังที่น่ากลัวเช่นเดิม แต่ด้วยข้อเสียเปรียบทางด้านการเงินที่สโมสร ไม่น่าจะควักเงินก้อนโต มาใช้ในซัมเมอร์นี้ ในการปรับปรุงทีม ซื้อแข้งดังๆ มาร่วมทีมอย่างแน่นอน แต่คาดว่า ยอดกุนซือ “เจอร์เกน คลอปป์” น่าจะดันนักเตะ “ดาวรุ่ง” ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ เพื่อเป็นอะไหล่ให้ทีมในบางจุดก็เพียงพอต่อการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกสมัยได้เลย
โดย “เจอร์เกน คลอปป์” กล่าวว่า หลังจากพาทีม คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นสมัยแรก และถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดในรอบ 30 ปี คงจะไม่ใช้เงินจำนวนมหาศาลในการเสริมทัพ ในฤดูกาลหน้า หลังเกิดปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ หลายทีมประสบปัญหาเรื่องการเงิน พร้อมกับมองว่าในฤดูกาลหน้าคงไม่จำเป็นต้องซื้อผู้เล่นราคาแพง เหมือนที่ทีมเคยทำผ่านๆ มา อีกทั้งเวลานี้ ผู้เล่นที่มีอยู่ตอนนี้ก็ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด คุณต้องมีความคิดอย่างสร้างสรรค์ เรามีผู้เล่น 3-4 คนที่มีความสามารถที่ยังจะสามารถพัฒนาต่อไปได้”
ขณะที่ “ทอม วอร์เนอร์” บิ๊กบอสของทีมลิเวอร์พูล แสดงความเชื่อมั่นว่า “เจอร์เกน คลอปป์” และลูกทีม ยังมีไฟในการไล่ล่าความสำเร็จเหมือนเดิม แม้จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมานอนกอดได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
“สิ่งหนึ่งที่ยึดติดกับผมในปีนี้ คือความหิวกระหาย และการคว้าแชมป์ในปีนี้ ผมไม่คิดว่านั่นจะทำให้ความกระหายในชัยชนะของพวกเขาลดลง เพราะพวกเขาคือกลุ่มผู้เล่นที่ดี และเป้าหมายของพวกเราก็คือ การรักษาฟอร์มที่มีคุณภาพแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ” วอร์เนอร์ กล่าว
บทสรุปแชมป์พรีเมียร์ลีกได้รูดม่านปิดฉากเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ลูกทีมของ “เป๊ป” ไม่สามารถเก็บชัยชนะเหนือ “เชลซี”ได้ ส่งผลให้ “ลิเวอร์พูล”เถลิงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกในรอบ 30 ปี แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในฤดูกาลหน้า “พรีเมียร์ลีกอังกฤษ” ที่เป็นลีกสุดหินที่สุดก็ยังคงเป็นลีกที่มีมนตร์เสน่ห์และน่าติดตามอยู่เสมอ และบรรดา“เดอะ ค็อปส์”ทั่วโลกจงมั่นใจได้เลยว่า ฤดูกาลหน้า “หงส์แดง”…ยังงานดีไม่มีตก!! แน่นอนล้านนนนนน…..เปอร์เซ็น
เพียงชาย. สายน้ำผึ้ง 4-0คือไร
04 ก.ค. 2563 เวลา 03.42 น.
ปรีชา อะไรๆก็ไม่แน่นอนไม่จีรัง ยังคงเป็นสัจธรรม
นักเตะดาวรุ่งเด็กปั้นคงจะไม่เสกเพี้ยงๆให้เก่งได้เหมือนใจนึก
นักเตะตัวหลักเจ็บแน่ๆ
ปีหน้า เชลซี แมนซิฯ แมนยูฯ พยายามอย่างหนักแน่ๆ
แล้วมาคอยดูกัน ว่าความขี้เหนียวขี้ตืดแบบเหตุผลควายๆของทั้งเจ้าของสโมสร และโค้ช จะมีปาฏิหาริย์อีกมั้ย ลิเวอร์พูลยังไม่ถือว่าฟอร์มและมาตรฐานการเล่นนักเตะ
จะคงเส้นคงวา เหมือนแมนซิฯ บาเยิร์น
หรือบาร์ซ่าทีมชั้นนำน่ะ พูดก็พูดเถอะ
04 ก.ค. 2563 เวลา 00.19 น.
친애하는 หงส์แดงเก่งสุด
03 ก.ค. 2563 เวลา 23.55 น.
เหน่อ แน่นอน ต้องเป็นเช่นนั้น
ขุมกำลังแกร่งทั่วแผ่น พร้อมดัน
ดาวรุ่งอีก jk ทำได้
03 ก.ค. 2563 เวลา 23.53 น.
ดูทั้งหมด