“แม้ว่าอำนาจทางการเมืองจะส่งผ่านจากมือของทหารไปสู่มือของพลเรือนด้วยการเลือกตั้ง แต่การเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นเช่นนี้ก็มีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ”
Brian Loveman
The Politics of Antipolitics (1997)
สําหรับนักศึกษาในสาขา “เปลี่ยนผ่านวิทยา” (transitology) ที่เฝ้ามองปรากฏการณ์การเมืองไทยในกรอบความคิดเรื่องของการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองแล้ว ความน่าสนใจคงไม่แตกต่างจากกรณีการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นมาแล้วในภูมิภาคอื่นๆ ในอดีต
โดยเฉพาะประเด็นสำคัญในกรณีนี้ก็คือ ในช่วงปลายของรัฐบาลอำนาจนิยมที่จะต้องตัดสินใจเปิดระบบการเมืองให้เกิดการส่งผ่านอำนาจนั้น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญและมีนัยอย่างสำคัญต่ออนาคตทางการเมืองของแต่ละประเทศอย่างมาก
หรือกล่าวในทางทฤษฎีของวิชาเปลี่ยนผ่านวิทยาก็คือ แบบแผนของการเปลี่ยนผ่านในการส่งต่ออำนาจทางการเมืองสู่รัฐบาลพลเรือนจะมีส่วนโดยตรงต่อการกำหนดทิศทางทางการเมืองของประเทศในอนาคต
และทั้งยังจะมีนัยต่อการกำหนดความสัมพันธ์ของสถาบันและโครงสร้างอำนาจของระบบการเมืองที่จะเกิดขึ้นในยุคหลังเปลี่ยนผ่าน ได้เกิดขึ้นแล้ว ตลอดรวมถึงความสัมพันธ์พลเรือน-ทหารที่เกิดขึ้นอีกด้วย
ฉะนั้น บทความนี้จะทดลองนำเสนอมุมมองการเมืองไทยในปี 2561 โดยอาศัยกรอบแนวคิดของเปลี่ยนผ่านวิทยาเป็นทิศทางของการพิจารณา
ช่วงปลายระบอบอำนาจนิยม
คงต้องยอมรับว่าการดำรงอยู่ของระบอบอำนาจนิยมในการเมืองไทยหลังจากรัฐประหารพฤษภาคม 2557 นั้น มีระยะเวลายาวนานมากกว่าที่นักสังเกตการณ์เฝ้ามอง
เพราะหากย้อนกลับไปดูการยึดอำนาจในยุคที่ผ่านๆ มา กองทัพไม่สามารถอยู่ในการเมืองไทยได้นาน เช่น คณะรัฐประหารในปี 2534 ก็พังทลายลงในเหตุการณ์พฤษภา 2535 หรือคณะรัฐประหาร 2549 ก็ตัดสินใจเปิดการเลือกตั้งในปลายปี 2550
ปรากฏการณ์จากประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของรัฐประหารไทยดูจะบอกแก่เราว่า การถือครองอำนาจของคณะทหารจะอยู่ในการเมืองแบบไม่นานนัก
ในรอบปี 2534 นั้น อายุของระบบอำนาจนิยมจากเดือนกุมภาพันธ์ 2534 และจบลงในวิกฤตพฤษภาคม 2535
และในรอบปี 2549 ก็มีอายุจากกันยายน 2549 จนถึงการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2550
ซึ่งจากรัฐประหารทั้ง 2 ครั้งเห็นได้ชัดว่า การจัดตั้งระบบอำนาจนิยมเป็นดังการจัด “รัฐบาลชั่วคราว” ที่เข้ามาเพื่อการจัดการทางการเมือง และผู้นำทหารเองก็ตระหนักว่า พวกเขาไม่สามารถอยู่ในการเมืองได้นานเกินไป เพราะระยะของการ “ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์” ของระบบทหารนั้นมีเวลาจำกัดในตัวเองเสมอ
และขณะเดียวกันผู้นำทหารเหล่านี้ก็ตระหนักดีว่า การที่กองทัพจะอยู่ในการเมืองแบบยาวนานเช่นในอดีต ก็อาจจะต้องเผชิญกับทั้งแรงกดดันระหว่างประเทศและแรงต่อต้านภายใน
และอาจกลายเป็น “ความเสี่ยง” ทางการเมือง ทั้งต่อรัฐบาลทหารและต่อสถาบันทหาร ตลอดรวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดแก่ผู้นำทหารที่อยู่ในอำนาจในระดับของตัวบุคคลอีกด้วย
การพังทหารของระบบทหารไม่ว่าจะเห็นจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือพฤษภาคม 2535 ล้วนเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้
แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ผู้นำทหารมักจะมีความเชื่อว่า “ปืน” ยังเป็นปัจจัยของการควบคุมทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพ
หรือโดยนัยก็คือ ผู้นำทหารในระบบอำนาจนิยมนั้น เชื่อมั่นเสมอว่าพวกเขาควบคุมการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาสามารถใช้อำนาจในกระบวนการออกแบบโครงสร้างการเมืองในอนาคตด้วยการออกมาตรการต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ จนกลายเป็นข้อจำกัดแก่การดำเนินการของพรรคการเมือง
และชุดความคิดที่หยาบที่สุดก็คือ ผู้นำทหารเชื่อว่าเมื่ออำนาจทางกฎหมายถูกสร้างและออกแบบให้เป็นคุณแก่ฝ่ายรัฐบาลทหาร การเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นจะเป็นกระบวนการทางการเมืองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของทหาร
หรือเราอาจจะเรียกสภาพเช่นนี้ว่าเป็น “การเปลี่ยนผ่านแบบควบคุม” (controlled transition) ที่กระบวนการเมืองในระยะเปลี่ยนผ่านจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายทหาร โดยมีความคาดหวังประการสำคัญว่า ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นจะยังทำให้อำนาจทางการเมืองอยู่ในมือของผู้นำทหาร และทหารจะยังเป็นผู้ควบคุมทางการเมืองต่อไป
แต่ตัวแบบร่วมสมัยจากการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นในไทยในปี 2550 หรือการเลือกตั้งภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารในพม่าในปี 2559 กลับแสดงให้เห็นว่าการควบคุมของทหารในทั้งสองกรณีไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้ฝ่ายกองทัพชนะการเลือกตั้งได้แต่อย่างใด
สภาพเช่นนี้ทำให้กลุ่มการเมืองปีกอนุรักษนิยมที่เชื่อมั่นในการรัฐประหารอธิบายการเมืองไทยหลังจากปี 2551 ด้วยวาทกรรมว่า “เสียของ” เพราะการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นกลับไม่สามารถนำมาซึ่งผลลัพธ์ในทางการเมืองตามความปรารถนาของพวกเขาได้
แต่กลับเห็นการฟื้นตัวของฝ่ายการเมืองที่ถูกโค่นล้มจากการรัฐประหาร 2549 กลับขึ้นสู่อำนาจในการเป็นรัฐบาลอีกครั้ง
สภาพเช่นนี้กลายเป็น “ความพ่ายแพ้” ของปีกอนุรักษนิยมและกลุ่มทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือในพม่าก็เห็นชัยชนะของพรรคฝ่ายค้านที่นำโดย ออง ซาน ซูจี… อำนาจปืนคุมการเมืองไม่ได้เสมอไป
ต้องไม่เสียของ!
รัฐประหาร 2557 เป็นผลผลิตของวาทกรรมที่จะต้อง “ไม่เสียของ”
เพราะสำหรับผู้นำทหารและผู้นำการเมืองปีกขวาจัดแล้ว พวกเขาตัดสินใจล้มการเมืองอีกครั้งหลังรัฐประหาร 2549 ด้วยความมั่นใจว่า การยึดอำนาจครั้งที่ 2 ในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีในการเมืองไทยจะเป็นหนทางสำคัญของการสถาปนาระบบอำนาจนิยมให้เกิดความเข้มแข็ง
และทั้งยังจะเป็นโอกาสของการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอีกด้วย
ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รัฐบาลทหารจะพยายามทุกอย่างในการออกแบบการจัดความสัมพันธ์และอำนาจทางการเมืองโดยผ่านกติกาของรัฐธรรมนูญ
อันเป็นความหวังอย่างสำคัญว่า ภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญ 2560 นั้น ผู้นำทหารจะสามารถดำรงตนเองให้อยู่ในการเมืองไทยได้อย่างยาวนาน…นานตราบเท่าที่พวกเขาต้องการบนฐานคติความเชื่อที่ถูกประกอบสร้างว่า กองทัพคือ “ผู้จัดการการเมือง” ให้แก่สังคมไทย
ความฝันของผู้นำทหารและผู้นำปีกขวาไทยที่เชื่อเสมอว่า การเมืองไทยจะต้องไม่อยู่ภายใต้ระบบเลือกตั้ง
และพวกเขาก็พร้อมที่จะกระทำทุกวิธีที่จะทำให้การเลือกตั้งและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหมดสภาพไป
ไม่ว่าจะเป็นการยุบพรรคหรือการใช้กระบวนการทางกฎหมาย “เล่นงาน” ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ จนกลายเป็นที่มาของวาทกรรม “กฎหมายสองมาตรฐาน”
และยังส่งผลให้กระบวนการ “ตุลาการภิวัตน์” กลายเป็นเพียงการขยายบทบาททางการเมืองของสถาบันตุลาการ อันส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันดังกล่าวอย่างมาก
ดังนั้น เพื่อป้องกันการ “เสียของ” หรือว่าที่จริงแล้วก็คือการป้องกันไม่ให้รัฐบาลทหารเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หากการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคตก็คือ การสร้างกลไกทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ เพื่อเป็นดัง “สิ่งกีดขวาง” ที่จะถูกจัดวางบนถนนสายการเมือง
โดยเชื่อมั่นว่า “สิ่งกีดขวางทางการเมือง” จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็น “ทายาท” ของระบบการปกครองเดิมของฝ่ายทหาร
ความพ่ายแพ้ต่อการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นในปี 2550 กลายเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับพวกเขา…
เข็มมุ่งสำคัญสำหรับนักรัฐประหารและกลุ่มปีกขวาจึงมีประการเดียวคือ จะต้องอยู่ในการเมืองไทยต่อไป แม้ระยะเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้น ก็จะต้องทำให้การเปลี่ยนผ่านนี้หมดแรงขับเคลื่อนและไม่มีนัยต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต
กลไกสืบทอดอำนาจ
การจัดวางหลักประกันต่อการคงอยู่ของระบบทหารและจะต้อง “ไม่เสียของ” จึงเกิดขึ้นจากปัจจัยสำคัญที่ถูกออกแบบโดยรัฐบาลทหาร และกลไกทางกฎหมายของกลุ่มรัฐประหาร ได้แก่
1) แม้จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว แต่ก็ยังมีการคงอำนาจของธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหารไว้ จนเกิดสภาวะที่นักกฎหมายรัฐธรรมนูญตั้งข้อสังเกตว่าเป็นภาวะ “รัฐธรรมนูญซ้อนรัฐธรรมนูญ” อันส่งผลให้การเปลี่ยนผ่านในอนาคตมีความยุ่งยากในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2) รัฐธรรมนูญที่ถูกร่างขึ้นให้หลักประกันแก่รัฐบาลทหารด้วยการออกแบบให้มีวุฒิสมาชิก 250 เสียงที่มาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลทหาร อันส่งผลให้ “พรรคทหาร” เกิดขึ้นโดยทันที แม้จะยังไม่มีการเลือกตั้งขึ้นก็ตามที วุฒิสมาชิกนี้จะเป็นหลักประกันโดยตรงในการลดทอนอำนาจของพรรคการเมืองในรัฐสภา
3) สาระของรัฐธรรมนูญนี้ไม่ต้องการให้เกิดการเมืองภาคพลเรือนที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้เกิด “นายกฯ คนกลาง” หรือการที่พรรคที่ชนะการเลือกตั้งอาจจะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะการใช้หลักการใหม่ที่พรรคที่ชนะเลือกตั้งจะไม่ได้ ส.ส.สัดส่วน เช่นในแบบปกติ อันทำให้คาดได้ว่า รัฐธรรมนูญนี้คงประสงค์ให้เกิด “รัฐบาลผสม” และเกิดภาวะ “การเมืองอ่อนแอ” ที่การเมืองหลังการเปลี่ยนผ่านอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำทหารต่อไป เพราะการเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะมีความ “อ่อนแอ” ของพรรคการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญ และจะเปิดโอกาสให้เกิดการแทรกแซงของฝ่ายทหารได้
4) ยุทธศาสตร์ 20 ปีของรัฐบาลทหารถูกจัดทำขึ้นเพื่อหวังว่า แม้กองทัพจะพ่ายแพ้ต่อการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคตก็ไม่อาจทำนโยบายได้ หากถูกตีกรอบให้ต้องเดินไปในทิศทางที่รัฐบาลทหารได้กำหนดไว้ หรือโดยหลักการก็คือ รัฐบาลหลังการเปลี่ยนผ่านไม่สามารถจัดทำนโยบายของตนเองได้ และจะต้องอยู่ภายใต้กรอบที่ถูกกำหนดจากยุทธศาสตร์นี้ ซึ่งจะมีผลเท่ากับอายุของรัฐบาลเลือกตั้งถึง 5 สมัย หรือเกิดภาวะ “รัฐซ้อนรัฐ” นานถึง 20 ปี ยุทธศาสตร์นี้จึงเป็นดังการ “รัฐประหารเงียบ” ของฝ่ายทหารที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องมีการเคลื่อนกำลัง และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ฝ่ายกองทัพสามารถควบคุมการเมืองได้ยาวนานถึง 20 ปี
5) การออกคำสั่ง คสช. ที่ 51/2560 ในการยกระดับให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) กลายเป็น “ซูเปอร์แมน” ในการควบคุมงานความมั่นคงทั้งหมดของประเทศ จนคล้ายกับการจัดตั้ง “รัฐบาลพิเศษ” ขึ้น ทั้งที่ประเทศไม่อยู่ในภาวะสงคราม แต่กองทัพก็ตัดสินใจขยายบทบาทของทหารด้วยความหวังว่า กอ.รมน. จะเป็นผู้ควบคุม “สนามรบทางการเมือง” ทั้งในเมืองและในชนบท และยังจะเป็นเครื่องมือสำคัญใน “สงครามการเมือง” สู้กับฝ่ายตรงข้าม
เพื่อทำให้การเปลี่ยนผ่านที่จะเกิดขึ้นนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายทหาร
อีกทั้งกองทัพและพรรคการเมืองของฝ่ายทหารจะต้องไม่เป็นผู้แพ้ หรืออย่างน้อยจะต้องไม่นำไปสู่สถานการณ์เหมือนกับการเลือกตั้งไทยในปี 2550 และ 2554
สัญญาประชาคมสากล
การออกแบบทางการเมืองที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็น “ความกลัว” อย่างมากของฝ่ายทหารและกลุ่มปีกขวาว่าพวกเขาอาจจะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งในอนาคต แต่แม้จะมีความพยายามในอีกด้านหนึ่งผลักดันข้อเสนอให้มีการเลื่อนการเลือกตั้ง แต่ด้วยแรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศ รัฐบาลไทยได้สัญญาในเวทีสากลมาแล้ว 3 ครั้ง
โดยในครั้งแรก ผู้นำไทยกล่าวที่โตเกียวว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปี 2559
ครั้งที่สอง กล่าวที่นิวยอร์กว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปี 2560
และครั้งที่สาม มีคำสัญญาในแถลงการณ์ร่วมที่วอชิงตันว่าจะเลือกตั้งในปี 2561… คำสัญญาทั้งสามครั้งเช่นนี้บ่งบอกถึงแรงกดดันจากเวทีสากลอย่างชัดเจน และทั้งยังมีแถลงการณ์ของสหภาพยุโรปออกมาเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลทหารไทยจะต้อง “รักษาคำสัญญา” ที่จะนำพาประเทศกลับสู่การเลือกตั้ง
ฉะนั้น หากรัฐบาลทหารตัดสินใจที่ “บิดพลิ้ว” คำสัญญาเป็นครั้งที่ 3 โดยไม่มีความชัดเจนที่จะจัดการเลือกตั้งในปี 2561 แล้ว รัฐบาลไทยจะ “ไร้เครดิต” ในเวทีสากลเป็นอย่างยิ่ง
และจะทำให้อนาคตของไทยถูกมองจากประชาคมระหว่างประเทศด้วยความไม่มั่นใจ
หรือถ้าเรายอมรับวาทกรรมว่า ประเทศไทยกำลังกลายเป็น “คนป่วย” ในภูมิภาคแล้ว การทำให้อนาคตของประเทศไทยไม่มีความชัดเจนทางการเมืองด้วยการขยายเวลาการเลือกตั้งออกไป จะเป็นดังการพาประเทศไทยเข้า “ห้องไอซียู” นั่นเอง
ประเทศไทย 2561 ในห้องไอซียูจะไม่เป็นผลดีทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เว้นแต่จะเป็นโอกาสให้รัฐบาลทหารดำรงอยู่ในอำนาจได้ต่อไป แต่ก็เป็นการอยู่บนความ “ผันผวน” และ “ไม่แน่นอน”!
ถอยหลังลงคลอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วงจรอุบาท
18 ม.ค. 2561 เวลา 02.43 น.
มังกรขาว คนโง่ส่วนหนึ่งของประเทศ ทำให้มีเรื่องแบบนี้ บอกลูก-หลานของคุณด้วย ว่าฝีมือพวกคุณ
18 ม.ค. 2561 เวลา 03.37 น.
sunchai แก้กฎหมายฝั่ง ประยุทธ เลือกหรือไม่เลือกยังไงก้ชนะ ทั้ง 250 สว. เอาคะแนนของสส.ที่มากกว่าเอาไปให้ สส.ที่ได้คะแนนน้อยกว่า... ที่นี้ประเทศไทย
18 ม.ค. 2561 เวลา 02.46 น.
คุณภาพการเมือง คือคุณภาพของปชช. คุณภาพของปชช. คือคุณภาพของการเมือง...
18 ม.ค. 2561 เวลา 03.24 น.
Suphanunt แล้วประชาชนจะยังไงหล่ะทีนี้ ? จะเงยหน้าอ้าปากได้มั๊ยหว่า ?
18 ม.ค. 2561 เวลา 02.30 น.
ดูทั้งหมด