นับว่าเป็นอีกคนบันเทิงที่คอยแต่สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับแฟนๆ อย่างสม่ำเสมอ สำหรับ ซานิ นิภาภรณ์ หรือ ซานิ AF6 ที่ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show แต่ในชีวิตจริงของเธอนั้นไม่ได้สร้างรอยยิ้มเลย ทั้งเรื่องความรัก และการก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง เกือบพรากชีวิตของเธอไป
ถาม ย้อนกลับไปก่อนที่จะมาประกวด AF ชีวิตของซานิเป็นอย่างไรบ้าง
ซานิ : ตอนนั้นหนูเรียนด้วย ทำงานด้วย เป็นวีเจของเคเบิลรายการหนึ่งด้วยค่ะ แล้วก็เล่นผับด้วยตอนกลางคืน 5 ร้านต่อคืน จบที่ประมาณตีสาม ตีสี่ หนูร้องทุกวัน 7 วันเลยค่ะ แล้วตอนเช้าจะเริ่มทำวีเจของเคเบิลประมาณ 7 โมงเช้าค่ะ เราก็จะนอนน้อยค่ะ เพราะเราต้องตื่นตีห้า หรือเลทที่สุดเลย 6 โมงเช้า หนูก็จะออกจากบ้านแล้ว
ถาม ทำไมต้องทำงานหนักขนาดนั้น
ซานิ : เพราะความจนค่ะ เราต้องการแบ่งเบาภาระของพ่อกับแม่ หนูรู้สึกว่าตอนนั้นครอบครัวเราก็ไม่ได้มีเท่าคนอื่น แล้วมันเหมือนเป็นโอกาส หนูรู้สึกว่าเมื่อได้โอกาสในการทำงานมา หนูจะทำให้เต็มที่ ตอนนั้นที่ทำงานหนูได้เงินต่อเดือนรวมทิปนะคะ 70,000 บาท ตอนนั้นที่ได้ก็ประมาณ 11-12 ปีที่แล้ว
ถาม แล้วมา AF ยังไง
ซานิ : เพราะว่าเพื่อนท้าค่ะ เขาเห็นว่าวงอื่นที่ร้องเพลงเหมือนเรา เขาไปลงสมัครหมดแล้ว เพื่อนก็ถามเราว่าเรากลัวอะไร เราก็บอกว่าไม่กลัว เพราะตอนนั้นเรารู้สึกว่าเงินเดือนเราโอเค แล้วเราจะไปทำไม สุดท้ายแล้วเราก็ไป ก็เข้ามารอบออดิชั่น แล้วก็ได้เข้ารอบมาเรื่อยๆ แล้วต้องบอกเลยว่าหนูไม่คิดเลยว่าหนูจะชนะ ซึ่งก่อนจะเข้าบ้าน เรานั่งทานข้าวกับแม่ เราน้ำตาไหลเลย แล้วแม่ก็พูดคำแรกเลยว่า.. ทำไงดี แม่ไม่มีเงินโหวต หนูบอกแม่เลยว่าไม่เป็นไรเลย ไม่ต้องซีเรียส เพราะเดี๋ยวก็ออกมาแล้ว หนูได้เข้ามาตรงนี้ ได้เข้ามาเรียนอาทิตย์หนึ่ง หนูก็ดีใจแล้ว เพราะยังไงถ้าหนูออกมา ก็กลับไปทำงานเหมือนเดิม เพราะเพื่อนยังรอ แม่ก็โอเค แต่พอเราเข้าไปเราก็ภูมิใจนะคะ ภูมิใจที่เราทำได้
ถาม ดูซานิเป็นผู้หญิงที่ห้าว แกร่ง แต่ก็มีเหมือนกันที่ซานิอ่อนแอถึงขั้นแตะเส้นอยากตาย
ซานิ : เป็นช่วงหลังจาก AF เลยค่ะ ช่วงที่เราเข้าแข่งขันอยู่ในบ้าน เราไม่รู้เรื่องของโซเชียลเลย เราจะไม่รู้เลยว่าคนคิดกับเราอย่างไร แต่วันที่เราได้รางวัลแล้ว เราออกมาปุ๊บ แล้วเราก็เปิดดูเว็บไซต์ต่างๆ ก็ไปเปิดอ่าน แต่ทุกคนก็บอกเราว่าอย่าเปิดอ่านนะ แต่ยิ่งบอกว่าอย่า เรายิ่งทำ หนูก็ไปเปิดดู คำพูดแต่ละคำคือแบบ bully หน้าตา bully เสียง bully การอยู่ในบ้าน แล้วเราเล่นกับผู้ชายเยอะๆ มันไม่ใช่ทอมจริง แล้วคือคำที่เขาใช้เป็นคำแรงค่ะ เพราะว่าเป็นคำจากโซเชียล แล้วพอหนูอ่านปุ๊บ ใจหนูตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยเพราะว่าเป็นคำที่เราไม่คิดว่าเราจะได้เห็น พอเราได้เห็นเราตกใจมาก แล้วเราคิดว่าทำไมไม่มีใครเล่าให้เราฟังเลย เราคิดเลยตอนนั้นคือไม่อยากอยู่แล้ว เพราะคำบางคำมันแรงมากสำหรับเมื่อก่อน คำบางคำคือไม่ได้ตลกสำหรับหนูเลยนะ เป็นคำที่แบบทำไมต้องมา bully เราอะไรขนาดนี้ ทั้งๆ ที่หนูคิดว่าหนูเป็นคนที่มีสติมากๆ กับทุกเรื่องนะคะ แต่พอมาเจอคำแบบนั้น หนูสติหายไปหมดเลย ดันไม่มีสติในการเข้าไปดูในตอนนั้น ถ้าหนูตั้งสติก่อน แล้วหนูรู้ว่าหนูต้องเจอกับอะไร เพราะมีแต่คนบอกว่าไม่ต้องไปดูว่าเขาพูดอะไร แต่เขาไม่ได้บอกเราว่าอย่าไปดู เพราะว่าคำที่เขาพูดถึงเรามันร้ายมากเลย มันแรงมากเลย เขาไม่ได้พูดนะ หนูก็เลยเข้าไปดู โดยที่หนูไม่ได้คิดอะไร เราก็ไม่ได้ภูมิใจหรอกค่ะที่เราถูกด่า ตอนนั้นพอเห็น โทรบอกทีมงานเลยพี่ๆ หนูจะเอารางวัลไปคืน หนูไม่เอาแล้ว ถ้าหนูไม่เหมาะสมเอาคืนไปเลย ตอนนั้นเราพูดไปก็ร้องไห้ไป ซึ่งหนูถึงได้บอกว่าตอนนั้นสติไม่มีเลย เพราะเราไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เราได้มาจากคนทั้งประเทศไหม คำพูดอะไรที่เราควรจะเก็บหรือคำพูดอะไรที่เราควรจะปล่อย แต่วันนั้นคือหนูคิดได้แค่ว่าหนูจะไม่อยู่แล้ว เพราะเราไม่มีสติ ตอนนั้นเราก็เกือบลงมือ ใช้สายไฟเลย เพราะว่าแม่อยู่อีกชั้นหนึ่ง แล้วของที่แฟนคลับให้เยอะมากค่ะ เราก็จำเป็นต้องเช่าอีกห้องหนึ่ง เก็บของด้วย ก็เลยกลายเป็นว่าเราต้องอยู่แยกกับคุณพ่อคุณแม่ คนละชั้น หนูทำ พ่อแม่เลยไม่รู้ แต่ตอนที่มันจะขาด จะหมดแล้ว ตอนนั้นทำไปไกลมาก พอจังหวะที่มันจะหมดจริงๆ มันเหมือนหน้าพ่อหน้าแม่เข้ามา เสียงทุกคน แฟนคลับ เข้ามาหมดเลยตอนนั้นเหมือนคนจะหมดลมแล้ว แล้วหนูเฮือกขึ้นมาอย่างนี้ แล้วหนูก็บอกตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำอะไร พ่อแม่ให้ชีวิตมาเลี้ยงมายากมากเลยนะ เขาต้องอดมื้อกินมื้อให้เราได้กินอิ่มแล้ว เรากำลังทำอะไรกับคำพูดอะไรของใครไม่รู้ด้วย พอเราได้สติ เราก็กลับไปนอนคิด น้ำตาไหล จนได้ไปคว้าเอาหนังสือของท่าน ว.วัชรเมธี แล้วตอนนั้นมีแฟนคลับท่านหนึ่งในหนังสือของท่าน ว.วัชรเมธี มา แต่ไม่ได้ตั้งใจจะอ่านทุกหน้าหรอกค่ะ ก็เปิดหน้าแรกกับหน้าหลัง หน้าหลังบอกว่าให้เราขอบคุณทุกอย่างที่เข้ามา แม้กระทั่งคำติฉินนินทานะ เพราะมันทำให้เรารู้ตัวว่าเราอยู่จุดไหน พอหนูอ่านเสร็จแล้วหนูก็ลุกขึ้นมา ใช่สิ คนเราจะอยู่กับคำชมตลอดเวลาเหรอ จะอยู่กับความสุขตลอดเวลาเหรอ นั่นคือมนุษย์เหรอ หลังจากวันนั้นหนูเริ่มพัฒนาตัวเองเลยค่ะ ทุกอย่างแม้กระทั่งหน้าตา เพราะเป็นเรื่องที่ถูก bully จนหนึ่งได้เจอท่าน ว. วัชรเมธี ได้อ่านหนังสือท่าน เป็นหนังสือที่ทำให้มีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ คุณแม่ก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยค่ะ
ถาม ในเรื่องของความรักบ้าง ไม่ค่อยเห็นซานิพูดถึงหรือให้สัมภาษณ์เท่าไหร่
ซานิ : หนูทำงานกับผู้ใหญ่เยอะมากเลยค่ะ แล้วแต่ละคนก็มีการสอนมาตลอดเลยว่าเรื่องส่วนตัวของเรา พอเราพูดออกไป เราไม่สามารถเอาคืนได้ เพราะมันพูดไปแล้ว มันเอาคืนไม่ได้ แล้วทุกครั้งที่มันเอาคืนไม่ได้ ต้องจำไว้เสมอนะ ไม่ว่าเราจะมีข่าวหรือมีอะไรก็แล้วแต่ คนที่เสียมักจะเป็นฝ่ายผู้หญิงตลอดเลย แม้กระทั่งเราได้เขา แต่ก็กลายเป็นว่าเขาได้เรา ซึ่งไม่มีคนรู้ว่าเราได้เขาอะไรอย่างนี้ ในเมื่อเราเป็นผู้หญิง เราก็ยังต้องถือขนบธรรมเนียมแบบเดิมๆ ก็เลยกลายเป็นว่าหนูไม่ชอบพูดเรื่องความรักเท่านั้นเอง แต่ไม่เคยปิดว่าเราชอบเพศไหน ชอบแบบไหน หรือคนจะนิยามเราให้อยู่ในเพศไหน
ถาม ตกลงซานิรักเพศไหน
ซานิ : ตอบยากเลยค่ะ เป็นคำถามแรกหลังจากที่หนูจบ AF มาเลยนะคะ ไม่ได้ถามว่าหนูได้แชมป์แล้วหนูรู้สึกดีใจไหม แต่เขาถามหนูว่าเพศไหน คำแรกเลย แล้วหนูตอบว่าได้หมด ณ วันที่หนูตอบ หนูรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริงในชีวิตหนู เพราะหนูคบมาหมดจริง เคยมีแฟนเป็นทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และเกย์ เราเจอมาหมด ซึ่งแฟนที่เป็นเกย์ ถามว่าเรารู้ไหมว่าเขาเป็น รู้ค่ะ แต่เราก็คบ เขาเลือกจะคบเราเพราะเขาสบายใจ แต่วันหนึ่งที่เขาไปเจอทางที่เขาแฮปปี้กว่า เขาก็ไป แล้วเราก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ซึ่งการที่เลิกกับแฟนหนูทุกคน ไม่เคยมีอาการอกหักนะคะตั้งแต่เกิดมา เพราะว่าเวลาที่หนูรู้ตัวว่าจะอกหัก หนูก็หนีก่อนเลย หนูไม่เคยจมอยู่ในสภาวะของการอกหักเลย แม่เคยถามหนูว่าลูกเคยร้องไห้ไหม เพราะไม่เคยเห็นลูกร้องไห้เลย
ถาม ไม่ใช่เพราะไม่เคยรักใครจริงๆ ใช่ไหม
ซานิ : หนูรักทุกคนหมด ทุ่มเท และคิดว่าจะเป็นรักครั้งสุดท้ายในชีวิตตลอดหมดทุกคน เพียงแต่การที่ไม่อกหักคืออะไร เพราะหนูรู้และใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน หนูรู้ว่าเขากำลังเปลี่ยนไป รู้ว่าเรากำลังไม่เหมือนเดิม หนูรู้ว่าฝั่งเราหรือเปล่าที่เปลี่ยนไป เมื่อหนูรู้อย่างนั้นแล้วหนูก็จะไม่ทิ้งเวลาให้มากไปกว่านี้ รู้ตัวเร็ว ก็จบเร็ว และหนูก็จะถามเลย เพื่อไม่ให้เสียเวลา หนูรู้สึกว่าในชีวิตของหนูที่ผ่านมา หนูไม่สามารถเสียเวลากับเรื่องอะไรได้ นอกจากการทำมาหาเลี้ยงชีพให้พ่อกับแม่และครอบครัวให้สบายที่สุด หนูใช้ชีวิตอยู่กับสติตลอดเวลา สวดมนต์ทุกวัน คนเรามีเซนส์บางอย่างค่ะ แฟนเราเปลี่ยนไปนะ หรือมีปัญหากัน แต่ทั้งหมดอยู่ที่ตัวของเราเองที่ไม่หยุด และก็ไม่เคยมีความรักครั้งไหนเลยที่ยื้อไม่อยากให้เขาไป ขนาดรักที่คบกันมา 6 ปี เราก็ปล่อยเขาไปง่ายๆ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน แต่ถ้าถามว่าใจข้างในเสียใจไหม มีอยู่แล้วค่ะ คำว่าเสียใจมีอยู่แล้ว แต่หนูจะจัดการความเสียใจนั้นยังไง ด้วยวิธีไหน ไม่ได้เป็นวิธีที่เกลียดเขานะคะ แต่เป็นวิธีการเอาเหตุผลทั้งหมดมารวม ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันต่อไป เราก็อาจจะต้องเกลียดกันก็ได้ และหนูก็ยังเป็นเพื่อนได้กับแฟนเก่าของหนูทุกคน
ถาม ขอย้อนกลับไปถามถึงความรักจริงจังครั้งแรกของซานิ เกิดขึ้นเมื่อไหร่
ซานิ : ถ้าจริงจังเลยก็เป็นคนที่คบ 6 ปีค่ะ อายุห่างจากหนู 11 ปี ตอนนั้นหนูอยู่ประมาณ ม.2 คนนี้คบยาวมากจนปี 1 ถึงจะเลิกกัน รู้สึกดีกับเขา เขามาในรูปแบบของพี่ค่ะ หนูเป็นเด็กที่หุ่นโตกว่าวัยมาก แล้วไปเจอเขาที่สระว่ายน้ำ เขาเป็นคนที่มีรอยสักเต็มเลย แล้วสูง 190 กว่า เราก็มองว่าพี่คนนี้เท่จังเลย แต่เราก็ไม่ได้คุยกับเขานะคะ เพราะว่าหนูไม่คุยกับคนแปลกหน้า เราก็ไปว่ายน้ำปกติ แต่เขามาเริ่มต้นคุยกับหนู เราก็เริ่มต้นคุยกัน ซึ่งมันไม่มีการขอเป็นแฟนเลยนะคะ แต่เหมือนอยู่กันไปคุยกันไปแล้วได้เจอกันทุกวัน ได้มาออกกำลังกายด้วย แล้วคุยกันถูกคอ เลยคบกันค่ะ ที่บ้านเราก็รับรู้ว่าคบกัน ตอนนั้นหนูไม่ได้มีโอกาสเล่าเรื่องความรักให้แม่ฟังเลย แต่จะมีคนอื่นๆ ที่เขามาเล่าว่าลูกสาวเดินกับผู้ชายหุ่นนายแบบเลยนะ แม่ก็จะมาถามว่าเราเดินกับใครอะไรอย่างนี้ ก็เป็นโอกาสที่เราจะบอกว่าเขาเป็นคนนี้นะ ซึ่งเขาก็มีโอกาสได้เจอคุณแม่บ่อย แม่ก็โอเค ถามว่าคิดถึงขั้นจะแต่งงานไหม หนูต้องบอกว่าหนูไม่คิด แต่เขาคิด ซึ่ง 6 ปีมันดีมาตลอดเลยค่ะ แต่มันเกิดจากว่าหนูเข้าปี 1 มศว แล้วหนูจะต้องย้ายไปเรียนและอยู่หอที่องครักษ์ เป็นช่วงที่เราได้เจอเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ หนูคิดว่าหนูจบไปจะทำงานอะไรดีนะ พี่เขาจะคุยเรื่องแต่งงานมาตลอดว่าจะต้องแต่งอายุเท่าไหร่ มีลูกตอนอายุเท่าไหร่ หนูก็ฟังมาตลอดโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะ จนปีหนึ่งก่อนจะเข้าปีหนึ่ง เขาก็พูดเยอะขึ้น หนูก็เริ่มเอากลับมาคิดว่าพ่อแม่เรายังลำบากอยู่เลย เราจะเอาอย่างไรดี ซึ่งที่เราคิด เราก็ยังไม่ได้บอกเขานะคะ เพราะความที่เขาโตมาก เราฟังก็เฉยๆ แล้วก็เงียบ แต่วันนั้นหนูเข้าไปอยู่ที่หอ แล้วเขาโทรมาคุยเล่นกันอยู่สักพักว่าพ่อกับแม่พี่ก็พูดแล้วเรื่องแต่งงานว่าจะมีอะไรอย่างไร แล้วเขาก็พูดว่าถ้าจบแล้ว เราแต่งงานกันนะ หนูก็สวนคำหนึ่งไปว่าเราเลิกกันนะ เป็นคำที่หนูยังเสียใจจนถึงทุกวันนี้ หนูไม่ได้เสียใจเพราะขอเขาเลิกนะคะ แต่เสียใจเพราะว่าเขาตั้งใจจะพูดอะไรดีๆ กับเราในวันนั้น แล้วเราไปทำร้ายเขาในวันนั้นทันที ที่หนูพูดออกไปแบบนั้น เพราะว่าหนูรั้งเขาไว้ไม่ได้แล้ว มันถึงวัยที่เขาต้องไปใช้ชีวิต เราไม่อยากให้เขารอ เพราะถ้าวันนั้นเราบอกให้เขารอ เขาก็รอ แต่เขาจะต้องรอเราไปถึงเมื่อไหร่ เขารอแล้วครอบครัว สิ่งที่เขาวางไว้ หนูกำลังพังชีวิตคนคนหนึ่ง หนูรู้สึกว่าเราไม่ควรรั้งเขา เพราะตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าเป้าหมายในชีวิตของเราต่างกัน หนูเรียนจบอยากทำงานก่อน แต่พี่เขาทำธุรกิจที่ต่างจังหวัด ซึ่งเขาสามารถเลี้ยงหนูได้สบายๆ เลย แต่หนูคิดว่าแล้วพ่อแม่หนู ครอบครัวหนูล่ะ หนูจนมากเลย ตอนนั้นหนูเดินอยู่ในห้องแบบแค่ 30 ตารางเมตรค่ะ เดินชนกันไปกันมา หนูรู้สึกว่าพ่อแม่ของหนูยังไม่ได้นอนที่ดีๆ เลย จะเอาตัวเองไปสบายคนเดียวคงไม่ได้ ทุกครั้งที่เขาพูดถึงเรื่องอนาคตคือแรงกดดันเราทุกครั้ง แต่เราไม่เคยบอกเขาเลย เพราะถ้าเราพูดกับเขา เขาจะต้องเสียใจแน่ๆ เพราะเขาต้องพูดว่าเขาเลี้ยงได้ เขาดูแลได้แน่นอน แต่หนูรู้สึกว่าการที่หนูจะไปใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคน หนูไม่ได้หวังให้เขามาดูแลครอบครัวหนู แต่หนูคิดว่าหนูต้องทำให้ครอบครัวหนูสบายก่อน เพื่อที่จะไปเจอกับครอบครัวเขาแล้วมันสมศักดิ์ศรี ซึ่งวันนั้นที่หนูปล่อยเขาไป หนูบอกได้เลยว่าหนูรักเขามากถึงยอมปล่อยเขา
ถาม แต่ก็มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับซานิ เรียกว่าทำให้ช็อค เพราะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเลย
ซานิ : ด้วยความที่เราเด็กมากๆ เราไปเจอกับเขานั่งอยู่กับผู้หญิงอีกคน เราก็ตกใจเพราะเขาเริ่มคุยกับเราแล้ว เราก็ตกใจว่าทำไมเขามีอีกคนเหรอ เราก็เลยเดินหนีแล้วเขาเห็นเราพอดี เขาก็รีบเดินออกมา เราก็บอกเขาไปว่าไม่คุย ด้วยความที่เราเด็ก เราก็บอกไม่คุยๆ ก็ยื้อๆ กันอยู่สักพัก หนูก็เดินออกมาแล้วเขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์ แป๊บเดียวได้ยินเสียงดังโครม คือรถกระบะมาชนรถเขาแล้ว แต่ปัญหาคือ หนูดันจบด้วยคำที่แย่มากๆ คือ ไม่อยากคุย โอ๊ย ไปตายเลยไป แล้วคือเหตุการณ์ก็เกิดหลังจากที่เราพูดจบเลย ด้วยความที่เรายังไม่ได้คบเขาเป็นแฟน เหมือนแค่เราคุย กิ๊กกั๊กกัน แล้วผู้หญิงคนนั้นก็วิ่งออก แต่ ณ วินาทีนั้นหนูไม่ได้คิดเลยว่าใครเป็นใคร หนูเดินถอยหลังมา แล้วก็มันพูดอะไรไม่ออก ไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วยนะคะ ไม่ได้กลับไปดู เพราะขาเราไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เลย เราถอยหลังอย่างเดียว แล้วก็เดินออกไปเลย ณ วินาทีนั้นเราคิดว่าเขาคงไม่เป็นอะไร แต่พออีกวันกลุ่มเพื่อนๆ เขาก็มาบอกเราว่าเขาเสียแล้ว ความรู้สึกของเราตอนนั้นเหมือนเราฆ่าคนตายเหมือนกัน เพราะประโยคนั้นทำให้เรารู้สึกว่าทำไมเราต้องพูดประโยคนั้นออกไปด้วย เราพูดโดยไม่ตั้งใจ แต่ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ซึ่งเราตั้งใจไว้เลยว่าเราจะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว สติไม่มีเลยวันนั้น
ถาม เพราะเรื่องนี้เหรอ ถึงทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนดวงกินแฟน
ซานิ : มันมีอีกค่ะ อย่างพี่ที่คบ 6 ปี คบๆ กันอยู่ดีๆ ก็มีเหตุต้องย้ายไปอยู่ไกลๆ อยู่ใกล้กันไม่ได้ จะต้องแบบอยู่ห่างๆ กัน บางคนคบกับเราปุ๊บ เขาก็จะเจอกับเรื่องราวไม่ดีในชีวิต ซึ่งหนูเคยไปที่วัดพระท่านก็ทักว่าโยมเคยทำบุญให้คนที่มาด้วยหรือเปล่า หนูก็ถามท่านว่าใครที่มากับหนู ท่านก็บอกว่าหรือจะเรียกว่าเจ้ากรรมนายเวรก็ได้นะ หรือจะเรียกว่าเป็นเทวดาประจำตัวก็ได้ แล้วท่านก็บอกว่าสังเกตไหม เวลาที่เราจะคบใครหรืออยู่ใกล้ใคร จะต้องรักใครเนี่ย มันต้องมีอันต้องห่างกัน เพราะว่าคนที่ตามหนู เขาคอยห่วงตลอด หนูคิดย้อนกลับไปเลยค่ะ เพราะว่าหนูฝันติดกัน 3 วัน ว่าเหมือนเราอยู่ในยุคสมัยก่อน ถ้าเปรียบคือเหมือนหนูอยู่ในยุควันทองใส่ชุดแบบแนวนั้น ฝันสามวันเหมือนเรื่องปะติดปะต่อกันหมดเลย เหมือนกับว่าเราใช้ชีวิตเป็นนางรำ ต้องไปรำที่บ้านคนนี้ แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งที่เขามีภรรยาอยู่แล้ว เขาก็รับเราไปเป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง วันที่สองก็ฝันอีก แล้ววันที่สามก็ฝันอีกว่าในฝันมีโจร มีเรื่องมีราวแล้วเหมือนเรากำลังจะโดนดาบฟันตัว แต่คนนี้เขาเข้ามารับแทนเรา ซึ่งประโยคที่เขาพูดกับเราแล้วเราจำได้เลยก็คือ ใครก็เอาหนูไปไม่ได้ถ้าเขาไม่ให้ พอหนูฟังคำนี้ก็ตื่นมา ตอนนั้นฝันตอนเด็กๆ นะคะ เราก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย เพราะคิดว่าเราคงดูละครจักรๆ วงศ์ๆ มากเกินไป แต่ก็พอมาปะติดปะต่อก็น่าแปลกใจ ถามว่า ณ ตอนนี้เขามาอยู่ไหม หนูไม่มั่นใจว่าเขายังอยู่ไหม แต่มีครั้งหนึ่งที่หนูไปช่วยคนที่ล้มจากการชนแล้วหนี วันนั้นมีลมมาปะทะตัวหนูที่จะเตือนก่อนที่จะมีเหตุการณ์อะไร หนูก็เลยเชื่อว่าเขายังอยู่
ถาม แต่มันก็มีวิธีการ (อันนี้ก็เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล) สวดมนต์เพื่อการตัดกัน
ซานิ : ขอให้คำสัญญาใดๆ ที่เคยผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อน หนูท่องทุกวันค่ะ คือบทสวด สัพพัง อะปะรารัง หนูสวดทุกวัน แต่ในคำสวด แปลว่า เราไม่ได้จะตัดขาดกันตลอดนะคะ คือเราอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ไม่ได้หมายถึงว่าให้เขาออกไปจากชีวิตของเรานะ เหมือนเป็นการส่งบุญว่าถ้าเกิดเราส่งบุญให้เขามากเท่าไหร่ เขาจะได้ไปเกิด หรือเขาจะได้ไปอยู่ในที่ที่ดี หรือว่าเราไปปลดปล่อยเขา ก็คือบทสวดที่หนูสวดประจำ
ดูคลิปย้อนหลังรายการ Club Friday Show ได้ทางยูทูป