เรื่องสั้น

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาของพรานป่าหน้าดุ

นิยาย Dek-D
อัพเดต 02 พ.ค. เวลา 04.48 น. • เผยแพร่ 02 พ.ค. เวลา 04.48 น. • ลมเหนือ
เมื่อเด็กสาววัย18ปีที่พึ่งเรียนจบมัธยมปลายต้องทะลุมิติไปยังยุคจีนโบราณและเธอมีเหตุให้ต้องแต่งงานกับพรานป่าหน้าดุ ความกลัวและความกังวลใจจึงบังเกิด

ข้อมูลเบื้องต้น

เด็กสาววัย18ปีที่พึ่งเรียนจบมัธยมปลาย เธอได้ทะลุมิติไปอยู่ในยุคโบราณ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่เคยมีปรากฏ อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของชนชาติใดมาก่อน ไม่รู้ว่าสวรรค์เล่นตลกหรือโชคชะตากลั่นแกล้ง เธอถึงได้ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาว ที่มีชื่อเหมือนกันกับเธอ แต่แตกต่างกันตรงที่ร่างของเด็กสาวคนนี้ พึ่งจะมีอายุเพียงแค่16ปีเท่านั้น

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ถึงแม้เธอจะต้องมาอยู่ในยุคจีนโบราณที่ไม่คุ้นเคย แต่ครอบครัวใหม่ก็รักเธอด้วยใจจริง อีกทั้งความรู้ที่เคยได้ร่ำเรียนมา รวมถึงความสามารถของประสาทสัมผัสรับกลิ่น ยังได้ถ่ายทอดส่งต่อสู่ร่างใหม่อย่างน่าอัศจรรย์ เท่านั้นยังไม่พอเธอยังมีตัวช่วยโกงอย่างดอกบัวเก้าสี ซึ่งในทุกวันดอกบัวจะมอบน้ำหวานทิพย์ให้แก่เธอ และน้ำหวานทิพย์ที่ได้จากดอกบัวเก้าสีนั้น มีสรรพคุณที่วิเศษเป็นเลิศเลยทีเดียว

นับได้ว่าการทะลุมิติมายังที่แห่งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ติดอยู่แค่เรื่องเดียวนั่นก็คือ เธอจับพลัดจับผลูจำต้องแต่งงานกับบุรุษที่น่ากลัวผู้นั้น พรานป่าผู้มีความเป็นมาที่ลึกลับ เขามีสีผิวทองแดงอีกทั้งรูปร่างยังสูงใหญ่กำยำ หนวดเคราของเขายาวเฟื้อยผิดแผกจากบุรุษทั่วไป หน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกของเขา ไม่ต่างจากโจรร้ายที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว เพียงแค่เธอเห็นเขาจ้องมองมา เธอก็แทบเข่าอ่อนรู้สึกเหมือนหัวใจจะวาย

"ไม่!!..สเปคของฉันต้องโอปป้าเกาหลีเท่านั้น สวรรค์ขอร้องล่ะฉันไม่เอาแบบนี้ โอ้ย!น่ากลัวเกินไปแล้ว!"

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ชีวิตของดรุณีร่างอวบอั๋นผู้นี้จะเป็นอย่างไรต่อไป เชิญนักอ่านทุกท่านติดตามต่อได้ใน

แนะนำตัวละครหลักของเรื่อง

แนะนำตัวละครหลักของเรื่อง

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

[กู้เสี่ยวจู] หญิงสาววัยสิบหกหนาวผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้ม ใบหน้าของนางน่ารักแม้ในยามโกรธเคืองผู้อื่น นางเป็นสตรีที่มีรูปร่างอวบอั๋น อกเป็นอก เอวเป็นเอว สะโพกกลมกลึงน่ามอง เรือนผมของนางดกดำเงางามดุจแพรไหมชั้นเลิศ อีกทั้งนางยังมีผิวกายที่ขาวผ่องราวหิมะในฤดูเหมันต์

[กู้เป่ยจง] บิดาของกู้เสี่ยวจูและกู้ฉิงหลาง เขาคือบุรุษผู้มีจิตใจดีงามยึดมั่นในคุณธรรม อีกทั้งยังมีวรยุทธสูงพอตัวเชี่ยวชาญในการใช้ทวนและหอกยาว เขาเคยเป็นหัวหน้าสำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่งในเมืองหลวง

[กู้ฉิงหลาง] เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามไร้เดียงสา ภายนอกเขาดูใสซื่อไม่ทันคน แต่เนื้อแท้กลับเป็นคนที่มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลม อีกทั้งยังมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เขาเติบโตมาอย่างองอาจและสง่างาม มีพร้อมทั้งความรู้และความสามารถที่เป็นเลิศในทุกด้าน

[สือหลันซื่อ] มารดาของกู้เสี่ยวจูและกู้ฉิงหลาง สตรีผู้มีจิตใจดีงามเพื่อบุตรทั้งสองคนแล้ว นางยอมเสียสละได้ทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของตัวเอง

[หยางเฉิน] พรานป่าหน้าดุบุรุษผู้มีความเป็นมาลึกลับ เขามีร่างกายที่สูงใหญ่กำยำ อีกทั้งยังมีพละกำลังมหาศาล

[ถังเหล่ย] บุตรชายคนโตของตระกูลถัง บุรุษผู้มีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้นหลี่ เชี่ยวชาญในการบัญชาการรบและต่อสู้ทุกรูปแบบ อีกทั้งยังมีวรยุทธและกำลังภายในที่สูงส่ง

[อันฝูหรง] บุตรสาวสายตรงของตระกูลอัน สตรีผู้มีรูปร่างอรชรสมส่วนและมีใบหน้าที่งดงามหมดจด นางมีท่วงท่าและกิริยาที่สง่างาม อีกทั้งยังมีความสามารถและเชี่ยวชาญลึกซึ้ง แตกฉานใน5ศาสตร์ของสตรีในห้องหอของ ซึ่งได้แก่ ดนตรี การขับร้อง การร่ายรำ คัดลายมือ และการคำนวณ

[ลู่หมิง] คุณชายสามของตระกูลลู่ที่เกิดจากอนุภรรยา เพียงเพราะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย เขาจึงถูกคนในตระกูลกดขี่ข่มเหงตั้งแต่ยังเด็ก แต่ทว่าถึงจะเติบโตมาพร้อมกับคำดูแคลน แต่ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดที่เขามี บวกกับเล่ห์กลที่แยบยล ทำให้เขาได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งวาณิชหลวงของแคว้นหลี่ เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งที่มีอำนาจมากมายอยู่ในมือ แม้แต่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักยังต้องชั่งใจ หากคิดจะมีเรื่องหรือลงมือกับเขา

E-book เล่ม1

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNzA1Njc2MyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3NjUzNSI7fQ

E-book เล่ม2

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNzA1Njc2MyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3NzUyMiI7fQ

บทนำ

ณ มหานครเซี่ยงไฮ้ในประเทศจีนปีพ.ศ2620

หญิงสาววัยสิบแปดปีคนหนึ่งในชุดมัธยมปลาย กำลังนั่งจ้องประกาศนียบัตรที่ถืออยู่ในมือ ในใจของเธอพลางครุ่นคิดอย่างสับสน ถึงอนาคตในวันข้างหน้าของตัวเอง

"เสี่ยวจูหนูคิดจะเรียนต่อหรือเปล่า ทำไมป่านนี้แล้วยังไม่กรอกเอกสารอีกล่ะจ๊ะ"

อาจารย์เหว่ยถิงเอ่ยปากถามลูกศิษย์ ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าเด็กสาวดูไม่มีทีท่า ว่าจะกระตือรือร้นกับการส่งใบสมัคร เพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี

"หนูคงไม่ได้เรียนต่อแล้วล่ะค่ะคุณครูเหว่ย"

"อ้าวทำไมล่ะจ๊ะ หนูมีอะไรก็บอกครูได้นะ"

อาจารย์เหว่ยถิงถามกลับอย่างแปลกใจ เพราะลูกศิษย์ของเธอคนนี้ เรียนจบมัธยมปลายด้วยคะแนนที่สูงลิ่ว หากเสี่ยวจูคิดจะเข้าศึกษาต่อ ในมหาลัยชั้นนำของประเทศก็คงไม่มีปัญหา

"หนูไม่มีทุนค่ะ..อีกทั้งการยื่นกู้เพื่อการศึกษาต่อ ก็ไม่ได้รับการอนุมัติค่ะ"

เสี่ยวจูตอบอาจารย์เหว่ยเสียงเศร้า ดวงตาของเธอแดงก่ำ เหมือนกับคนที่กำลังจะร้องไห้ออกมา เด็กสาวที่กำพร้าบิดามารดา อีกทั้งไร้คนให้พึ่งพิงอย่างเธอ คงต้องละทิ้งในสิ่งที่ฝันไว้เพียงเท่านี้แล้ว

"โธ่..เสี่ยวจู ครูเห็นใจหนูจริงๆนะ"

อาจารย์เหว่ยกล่าวปลอบโยนลูกศิษย์ พร้อมทั้งลูบหัวเด็กสาวอย่างอ่อนโยน ตัวเธอเองสงสารเด็กคนนี้มาก แต่แล้วจะให้เธอทำอย่างไรได้ ในเมื่อเงินเดือนของอาชีพครู แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลังด้วยซ้ำ เธอมีเงินให้ใช้แค่เดือนชนเดือนเท่านั้น เธอจึงไม่มีปัญญาที่จะช่วยเหลือเสี่ยวจูได้ ถึงแม้ในใจจะอยากช่วยเหลือก็ตามที

"เข้มแข็งนะจ๊ะเสี่ยวจู ครูจะคอยเป็นกำลังใจให้หนูเสมอ"

"ขอบคุณค่ะคุณครูเหว่ย"

ในยุคที่มีความเจริญก้าวหน้าอย่างเช่นทุกวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีราคาแพงทั้งสิ้น โดยเฉพาะค่าเทอมในการศึกษาต่อ ในมหาวิทยาลัยของประเทศ เมื่อก่อนยังมีเงินให้กู้ยืมเรียน

แต่ตอนนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา มีแต่หนี้เสียจนภาครัฐไม่อาจที่จะจัดการได้ เยาวชนในรุ่นหลังๆจึงสูญเสียโอกาส ที่จะได้กู้ยืมเงินทุนมาเพื่อศึกษาต่อ

เสี่ยวจูนั่งคุยกับอาจารย์เหว่ยถิงอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงนั่งรถเมล์กลับบ้าน เธออาศัยอยู่ในย่านเสื่อมโทรม ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก นั่งรถเมล์ผ่านสามป้ายก็ถึงที่พัก ครั้นจะเรียกว่าบ้านก็ไม่ค่อยจะถูกนัก

ต้องเรียกว่าห้องเช่าเท่ารูหนูจะเหมาะสมกว่า ตั้งแต่พ่อกับแม่ของเธอเสียชีวิตไปเมื่อหนึ่งปีก่อน เสี่ยวจูก็อาศัยอยู่คนเดียวมาโดยตลอด ชีวิตที่เคยสุขสบายของเธอแปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

จากลูกสาวคนเดียวของนายแพทย์แผนจีนผู้เลื่องชื่อ เด็กสาวผู้ใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินกองทองตั้งแต่เกิด เพราะมีบิดาเป็นถึงหัวหน้าสมาคมแพทย์แผนจีน มีมารดาที่รอบรู้เรื่องสมุนไพร และเชี่ยวชาญในศาสตร์การปรุงยาจีน

นับว่าครอบครัวของเธอเป็นที่นับหน้าถือตายิ่ง ของกลุ่มคนในสังคมชั้นสูงของเซี่ยงไฮ้ นั่นยิ่งทำให้รอบข้างของเสี่ยวจูนั้น มีแต่คนคอยพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ แต่ทุกอย่างที่เธอมีก็คล้ายสลายไปในอากาศ เมื่อบิดาและมารดาของเธอ ได้ตายจากไปอย่างกะทันหันเพราะอุบัติเหตุรถยนต์

ญาติฝ่ายบิดาและญาติพี่น้องฝ่ายมารดา ต่างพากันวางแผนฉกฉวยเอาทรัพย์สิน และมรดกที่พ่อและแม่ทิ้งไว้ให้กับเธอ เพราะไม่รู้เท่าทันต่อกลโกงและเล่ห์เหลี่ยมของคน อีกทั้งตอนนั้นเธอเองมีอายุเพียงแค่17ปี เธอจึงถูกคนเหล่านั้นเอาเปรียบแย่งชิง ทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างหน้าไม่อาย

เด็กสาวอย่างเธอคงไม่มีปัญญาไปต่อสู้ หรือเรียกร้องความเป็นธรรมกับใครได้ ในเมื่อผู้ที่ลงมืออยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ คือลุงแท้ๆที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต เขาเป็นถึงหัวหน้าผู้พิพากษาที่มีเส้นสายกว้างขวาง เมื่อเสี่ยวจูเหลือเพียงแค่ตัวเปล่า ญาติมิตรที่เคยไปมาหาสู่ต่างก็หนีหาย

เพียงเพราะไม่อยากจะรับเอาตัวภาระอย่างเธอ เข้ามาในครอบครัวของพวกเขา เสี่ยวจูจึงต้องดิ้นรนหาหนทางด้วยตัวเอง ซึ่งรายจ่ายในชีวิตประจำวันของเธอนั้น ก็ได้มาจากการรับจ้างทำงาน ในช่วงวันหยุดที่ไม่ได้ไปโรงเรียน โดยเธอทำงานล้างจานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในย่านการค้าของคนร่ำรวย

เงินที่เธอทำงานหนักหามาได้อย่างยากลำบาก ก็มีจำนวนเพียงน้อยนิดเพียงพอแค่ค่ากินอยู่เท่านั้น เรื่องที่คิดอยากจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย..จึงลืมมันไปได้เลย

เวลา00:09 น. เวลาที่ที่ผู้คนในเมืองเซี่ยงไฮ้กำลังนอนหลับใหล แต่ผู้ใดเล่าจะล่วงรู้ว่าชะตาของเด็กสาวผู้หนึ่ง ที่มีชื่อว่าเสี่ยวจูกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

ในย่านเสื่อมโทรมที่มีตรอกซอกซอยแยกย่อยมากมาย บัดนี้กำลังเกิดไฟไหม้โหมอย่างรุนแรง เปลวเพลิงสีแดงฉานพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง ทุกคนต่างวิ่งหนีตายกันอย่างอลหม่าน เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นเป็นระยะๆ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังหนีเอาชีวิตรอด เสี่ยวจูกลับจากโลกนี้ไปอย่างสงบ

อันที่จริงวิญญาณของเธอนั้นได้หลุดออกจากร่าง ไปก่อนที่จะเกิดเพลิงไหม้ขึ้นเสียอีก หลังวิญญาณของเสี่ยวจูหลุดลอยออกจากกายหยาบ เธอไม่ได้เข้าสู่วัฏสงสารตามที่ควรจะเป็น แต่วิญญาณของเธอกลับมาเข้าร่าง ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในต่างภพ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ไม่เคยมีปรากฏ อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของชนชาติใดมาก่อน

บทที่1 มีชีวิตใหม่อีกครั้ง

ภูเขาที่สลับซับซ้อนปรากฏเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงาม ภายในภูเขาเขียวขจีแห่งนี้มีทางเข้าออกทางเดียว ซึ่งเป็นทางขนาดใหญ่ที่รถม้าสองคันสามารถวิ่งสวนกันได้ พื้นของทางนั้นลาดด้วยดินเหนียวสีแดงปูทับด้วยหินหยาบ ทำให้เดินทางสะดวกสบายยิ่งยามฤดูฝนมาเยือน นั่นเพราะไม่ต้องเกรงว่าพื้นของถนนหนทาง จะลื่นหรือเปลี่ยนเป็นดินเลน

เมื่อเดินทางตามเส้นทางที่คดเคี้ยวของภูเขาลูกนี้ไป ก็จะสามารถมองเห็นบ้านดินหลังคามุงจาก ที่ตั้งเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก โดยบ้านดินของแต่ละหลังนั้น แบ่งแยกพื้นที่กันอย่างชัดเจนด้วยการล้อมรอบ บริเวณบ้านด้วยรั้วไม้ไผ่สูงเท่าเอวของคนหนุ่มสาว ซึ่งหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในภูเขาแห่งนี้ มีชื่อเรียกว่าหมู่บ้านเขาเฟิงหวง ซึ่งตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อของภูเขานั่นเอง

หมู่บ้านเขาเฟิงหวงแห่งนี้ได้มีผู้คน มาจากหลายถิ่นฐานที่พากันอพยพมาตั้งรกราก นับคร่าวๆก็มีถึงร้อยกว่าครัวเรือน บ้างก็อพยพมาเพราะภัยแล้ง บ้างก็อพยพมาเพราะภัยของสงคราม จึงทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงจะมีคนมาเพิ่มขึ้นในทุกๆปี แต่ถึงอย่างนั้นพื้นที่ของภูเขาเฟิงหวง ก็ถูกใช้ไปยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ของพื้นที่ทั้งหมดของภูเขาลูกนี้ด้วยซ้ำไป

นับได้ว่าภูเขาเฟิงหวงนั้นมีเขตแดนที่กว้างใหญ่มากจริงๆ และถึงแม้หมู่บนภูเขาเฟิงหวงจะมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก แต่พวกเขาต่างก็สมัครสมานสามัคคีกัน ทุกคนล้วนใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน โดยที่บางครอบครัวยึดอาชีพล่าสัตว์ บางครอบครัวก็ยึดอาชีพทำการเกษตร เพราะภูเขาเฟิงหวงมีพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์

อีกทั้งมีน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเหือดแห้ง เป็นสายธารเชื่อมต่อไปยังคูคลองที่อยู่รอบๆภูเขา น้ำใสสะอาดจากภูเขาที่คอยหล่อเลี้ยงผู้คนและสัตว์ป่า ทำให้ทั้งคนและสัตว์ที่อาศัยอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ ต่างไม่อดยากเรื่องอาหารหรือขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ ไม่ยากไร้เหมือนกับบางหมู่บ้าน ที่ตั้งอยู่ในดินแดนของแคว้นหลี่

ณ หมู่บ้านเขาเฟิงหวง

ในบ้านดินขนาดสามห้องนอนที่ตั้งตระหง่าน อยู่บนที่ดินติดกับเชิงเขาใกล้กับคลองสายหนึ่ง ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของหมู่บ้านเขาเฟิงหวง บ้านดินหลังนี้เป็นที่อยู่ของสามแม่ลูก

ซึ่งได้แก่สตรีวัยกลางคนผู้เป็นมารดานางชื่อสือหลันซื่อ บุตรสาวคนโตอายุสิบหกหนาวชื่อกู้เสี่ยวจู และบุตรชายคนเล็กอายุสิบสองหนาวชื่อกู้ฉิงหลาง เดิมทีทั้งสามคนไม่ใช่คนของเมืองนี้ แต่ทว่าพวกเขาเดินทางมาตั้งรกราก อยู่ที่ภูเขาแห่งนี้เมื่อสิบปีก่อน

รุ่งอรุณในฤดูร้อนที่ร้อนระอุ แสงของดวงตะวันสาดส่อง ทะลุช่องโหว่ขนาดใหญ่ของหลังคาบ้านที่มุงด้วยใบจาก ทำให้สตรีวัยสิบหกหนาวตื่นจากการหลับใหล ดวงตาที่กลมโตกระจ่างดุจลูกกวางน้อย กวาดมองสำรวจไปรอบๆอย่างแปลกใจ ขนตางอนยาวของนางกะพริบขึ้นลงอย่างน่าเอ็นดู

"เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันเนี่ย"

ดรุณีวัยสิบหกหนาวพูดพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ในขณะที่กำลังพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง ฉับพลันนั้นร่างอวบอิ่มก็มีอันต้องสั่นสะท้าน เพราะศีรษะของนางรู้สึกเจ็บปวดจนเกินที่จะทนไหว เสียงร้องที่ดังลอดออกจากห้อง ทำให้ผู้ที่อยู่ด้านนอกรู้ถึงการเคลื่อนไหว ไม่ถึงอึดใจก็มีสตรีวัยกลางคน รีบร้อนเปิดประตูเข้ามาถามไถ่อาการด้วยความเป็นห่วง

"ดีจริงในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้างลูกรักของแม่"

สือหลันซื่อลูบหัวบุตรสาวเบาๆอย่างรักใคร่ แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ที่มารดาพึงมีต่อบุตรของตน แต่เมื่อนางเห็นท่าทางและดวงตา ที่ดูเลื่อนลอยของบุตรสาว นางจึงรีบถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลและร้อนรน

"เสี่ยวจูเจ้าเป็นอะไรไปลูก"

"ปวดหัว.ปวดเหลือเกิน"

สิ้นเสียงตอบกลับของเสี่ยวจู มารดาอย่านางหลันซื่อ ก็รีบออกจากห้องเพื่อไปตามหมอ ในใจของนางก็สวดภาวนาให้บุตรสาว ว่าอย่าให้มีความเจ็บป่วยอะไรร้ายแรง เกิดขึ้นกับร่างกายของเสี่ยวจูเลย

ในตอนนี้เสี่ยวจูที่นั่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง ก็ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆจากความทรงจำมากมาย ที่หลั่งไหลเข้ามาในหัวไม่หยุด ซึ่งเป็นความทรงจำทั้งหมดของเจ้าของร่างเดิม ตั้งแต่ยังเยาว์เริ่มจำความได้ จนกระทั่งนางเติบโตอายุครบสิบหกหนาว

ทำเอาเสี่ยวจูหญิงสาวในยุคปัจจุบัน ถึงกับหลั่งเหงื่อด้วยความตกใจ กับสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในขณะนี้ การยืมร่างคืนวิญญาณที่เคยอ่านในนิยาย กลับเกิดขึ้นจริงในชีวิตของตน ช่างเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อเกินไป

แต่ถึงจะรู้สึกตกใจมากแค่ไหน ทว่าหัวใจของนางก็สงบลงอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะว่าในโลกเดิมที่นางจากมา ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้เสี่ยวจูต้องอาลัยอีกแล้ว อย่างน้อยๆชีวิตใหม่ในที่แห่งนี้ นางยังมีครอบครัวมีแม่และน้องชาย ที่รักและห่วงใยคอยอยู่เคียงข้าง

'เจ้าไปอย่างหมดห่วงเถอะนะ ข้าจะดูแลมารดาและน้องชายของเจ้าเอง'

เสี่ยวจูพึมพำออกมาเพื่อบอกกล่าว แก่เจ้าของร่างที่ตอนนี้นางกำลังครอบครองอยู่ และหลังจากที่นางพูดจบ ก็ได้มีลมวูบหนึ่งพัดเบาๆมาโดนตัว จนนางรู้สึกและสัมผัสได้ว่านี่คือการตอบรับ ของดวงวิญญาณของผู้เป็นเจ้าของร่างเดิม

"ท่านหมอเร็วเข้าเถิดเจ้าค่ะ ลูกสาวของข้าท่าจะแย่แล้วนะเจ้าคะ"

"ท่านหมอ..ท่านเดินเร็วหน่อยสิขอรับ"

"โอ๊ย!เจ้าสองแม่ลูกนี่ยังไงกัน ขาของข้าจะก้าวเดินตามพวกเจ้าไม่ทันแล้ว อย่าลากข้า!ประเดี๋ยวข้าล้ม"

"ท่านหมอ..ท่านก็ก้าวเท้าให้ไวๆหน่อยสิเจ้าคะ"

"นั่นสิขอรับ"

เสียงเร่งเร้าของหลันซื่อและบุตรชายกู้ฉิงหลาง ที่กำลังพูดเร่งให้หมอชราเดินเข้ามาในบ้าน เสียงดังลั่นไปถึงข้างในห้องนอนของเสี่ยวจู เมื่อนางได้ยินน้ำเสียงที่ร้อนรนและเป็นกังวล ของผู้เป็นมารดาและน้องชายของตน นางก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจเป็นอย่างมาก

"ท่านหมอลูกข้าเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ"

"รอเดี๋ยวก่อนสิ ข้ายังไม่ทันได้จับชีพจรของบุตรสาวเจ้าเลยนะ"

"ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าใจร้อนไปหน่อย"

"พวกเจ้าสองแม่ลูก..ช่างทรมานสังขารคนแก่เช่นข้าจริงๆ"

หมอชราเพียงหนึ่งเดียวประจำหมู่บ้านที่มีนามว่าอู่หลง เขาได้ปรายตามองหลันซื่อและกู้ฉิงหลาง เขาที่พึ่งก้าวเท้าเข้ามาในห้องกำลังหายใจเหนื่อยหอบ พลางพูดตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่ดูบึ้งตึง เขาที่แก่มากแล้วกลับถูกแม่ลูกคู่นี้ ลากดึงให้เดินมาอย่างเร่งรีบ ทำเอาคนแก่เช่นเขาถึงกับหายใจหายคอแทบไม่ทัน

"เอาล่ะ..ยื่นมือออกมา ข้าจะตรวจชีพจรให้เจ้า"

เสี่ยวจูยื่นมือออกไปให้หมอชราตรวจอย่างว่าง่าย ท่านหมอเพียงใช้นิ้วแตะไปที่ข้อมือของนางเบาๆ ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปพูดคุยกับมารดาของนาง

"บุตรสาวเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว อาการโดยรวมถือว่าไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง จากนี้ดื่มยาอีกสักสองสามเทียบก็พอ เพียงแต่นางเสียเลือดไปมาก จำเป็นต้องบำรุงเสียหน่อยนะ"

"ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วจริงๆหรือเจ้าคะท่านหมอ แต่ตอนที่นางฟื้นขึ้นมา นางบอกกับข้าว่าปวดหัวมากนะเจ้าคะ"

"อืม..เจ้าไม่ต้องกังวลไป มีอาการปวดหัวหลังจากฟื้น นั่นเพราะหัวของนางแตกเป็นแผลใหญ่พอสมควร แผลเหวอะหวะส่งผลให้นางปวดหัวนั่นก็ไม่แปลกหรอก ดื่มยาแล้วนอนพักให้มาก หลังจากแผลสมานตัวดีแล้ว อาการปวดหัวก็จะดีขึ้นเองตามลำดับนั่นแหละ หากมีอะไรก็ไปตามข้าแล้วกัน"

"ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ เอ่อ..แล้วค่ารักษาครั้งนี้ท่านหมอจะคิดเท่าไหร่เจ้าคะ"

"อืม…ไม่เป็นไร ค่ารักษาไม่ต้องหรอก ข้าแค่ตรวจชีพจรให้บุตรสาวเจ้าเพียงเล็กน้อย หาใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง ครั้งนี้เจ้าจ่ายแค่ค่ายา มาให้ข้าสี่สิบอีแปะก็พอแล้วล่ะ"

"นี่เจ้าค่ะค่ายาสี่สิบอีแปะ ยังไงข้าก็ต้องขอขอบคุณท่านหมออีกครั้งนะเจ้าคะ"

"อืม…ไม่ต้องเกรงใจไปคนกันเองทั้งนั้น อีกเดี๋ยวเจ้าให้ฉิงหลาง ตามข้าไปเอายาที่บ้านก็แล้วกันนะ"

"เจ้าค่ะ"

หลังจากตรวจรักษาและเอ่ยกำชับ เกี่ยวกับข้อควรระวังต่างๆเสร็จ หมอชราอู่ก็เดินออกจากบ้านของหลันซื่อ โดยมีกู้ฉิงหลางเดินตามกลับไปเพื่อเอายา ที่บ้านของหมอชราตามที่พูดคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ ทางด้านของคนป่วยอย่างเสี่ยวจู นางก็เอนหลังพิงหัวเตียงอย่างอ่อนแรง

"เสี่ยวจู..หิวหรือยังลูก เจ้าจะกินอะไรสักหน่อยไหมจะได้มีแรง"

"เจ้าค่ะท่านแม่"

"งั้นรอแม่เดี๋ยวนะ แม่จะไปยกข้าวต้มมาให้"

"เจ้าค่ะ"

หลันซื่อรีบออกจากห้องไปยกอาหารมาให้บุตรสาว ทันทีที่มารดาวางถาดอาหารลงตรงหน้า เสี่ยวจูถึงกับถอนหายใจแรงออกมา เพียงแค่นางมองดูถ้วยข้าวต้มใส ที่แทบจะมองเห็นก้นถ้วยเพราะไม่มีเมล็ดข้าว ตัวของนางก็รู้ได้ในทันทีว่าครอบครัวปัจจุบันของตน มีฐานะที่ยากจนข้นแค้นมากเพียงใด

แต่ทว่าสิ่งที่เห็นและได้รับรู้มาทั้งหมด นอกจากจะไม่ทำให้นางเศร้าโศกแล้ว กลับส่งผลที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ใจของเสี่ยวจูตอนนี้มีแต่ความรู้สึกฮึกเหิม นางตั้งใจแน่วแน่ว่าตนเองจะต้องคิดหาวิธี ที่จะทำให้ครอบครัวนี้มีกินมีใช้ให้จงได้

E-book เล่ม1

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNzA1Njc2MyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3NjUzNSI7fQ

E-book เล่ม2

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNzA1Njc2MyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3NzUyMiI7fQ

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ