วันนี้ (30 พ.ค.2563) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขานุการวิปฝ่ายค้าน กล่าวอภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เพื่อพิจารณากฎหมายว่าด้วยการเงิน 4 ฉบับ รวมวงเงิน 1.98 ล้านล้านบาทว่า ครั้งนี้เป็นการใช้เงินกู้ และทรัพยากรของประเทศไทยครั้งมโหฬาร ใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา 1.9 ล้านล้านบาท โดยภาพรวมแล้ว รู้สึกอึดอัดกับการที่จะต้องมาพิจารณาอนุมัติ หรือไม่อนุมัติร่าง พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับนี้ในสภาฯ ในแง่หนึ่งประชาชนที่เดือดร้อนจากปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบริหารงานของรัฐจากปัญหาไวรัสโคโรนาก็เดือดร้อน ซึ่งเรียกร้องและรอการช่วยเหลือเยียวยาจากภาครัฐ แต่ในอีกแง่หนึ่ง โครงสร้างของ พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับ กลับไม่มีความครอบคลุมเต็มไปด้วยช่องโหว่ สุ่มเสี่ยงต่อการทุจริต คอร์รัปชันมากมาย
ในประเด็นแรก ร่าง พ.ร.ก. 2 ฉบับ ซึ่งให้อำนาจกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นผู้ดำเนินการ คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาคือทำไมต้องเป็น ธปท. วันนี้เอาเผือกร้อนโยนใส่เมืองของ ธปท.เป็นผู้ดำเนินการในการปล่อยซอฟต์โลนให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการบริหารจัดการเงิน เพื่อที่จะไปซื้อตราสารหนี้จากบริษัทใหญ่ ทั้งที่ภารกิจเหล่านี้เป็นภารกิจที่สามารถให้ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปดำเนินการได้ โดยมี ธปท.เป็นผู้กำกับอยู่เบื้องหลัง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทางสังคมรับทราบดีว่าสุ่มเสี่ยงกับการจะทำให้ ธปท.เข้าไปเป็นคู่ความ เกิดความเสี่ยงที่ ธปท.จะขาดความเป็นกลางและความเป็นอิสระตามวัตถุประสงค์ของธนาคารกลางทั่วไป ซึ่งในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา รัฐบาลขออนุญาตให้ผู้ว่าการ ธปท.เข้ามาชี้แจง ซึ่งไม่ขัดข้องบางครั้งชี้แจงไปชมรัฐบาลไป จนกระทั่งเกิดความรู้สึกสงสัยถึงความเป็นอิสระของและความเป็นกลางของผู้ว่าการ ธปท.
ในส่วนของ พ.ร.ก.ในเรื่องการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู็เงิน 1 ล้านล้านบาท ยิ่งตัดสินใจยาก เพราะเหมือนกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) มัดมือชกกับสภาผู้แทนราษฎร เอาประชาชนเป็นตัวประกันใส่กุญแจมือไว้ว่าเราต้องผ่าน พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพราะจริงๆ แล้ว พ.ร.ก.ฉบับนี้มี 3 ส่าวน ส่วนแรก 45,000 ล้านบาท เป็นเรื่องของการเข้าไปช่วยเหลือในเรื่องการสาธารณสุข อีก 555,000 ล้านบาท เป็นเรื่องของการเยียวยา ซึ่งรู้ว่าประชาชนรออยู่ บุคลากรทางการแพทย์รออยู่ เราอยากจะช่วย แต่ปรากฏว่าร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้ยัดไส้เอาเรื่องของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นงานปกติ งานประจำของภาครัฐ เข้ามาอีก 400,000 ล้านบาท เรารู้กันดี แต่ประชาชนไม่ทราบ เวลาที่ลักษณะการลงทุนพวกนี้เข้าสู่สภาจะผ่านทาง พ.ร.บ.งบประมาณ ซึ่งพิจารณาวาระแรก 4 วัน 4 คืน ไปตั้งคณะกรรมาธิการนั่งดูทุกบรรทัดและตัวอักษรเป็นเวลา 3 เดือน กลับเข้าสู่สภา พิจารณาวาระ 3 วาระ 4 ร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้ เข้ามาไม่มีรายละเอียดอะไรให้พิจารณา ไม่มีเนื้อหาโครงการ มีแต่กรอบเงินแล้วจะให้อนุมัติ
นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ ถ้าผ่านร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะในส่วนของ 400,000 ล้านบาท ที่เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ต่างอะไรกับเราตีเช็คเปล่าให้รัฐบาลเลย อ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 ออก พ.ร.ก.เมื่อกรณีจำเป็นและฉุกเฉินเท่านั้น ถามว่าโครงการในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ ที่จะเตรียมทำฉุกเฉินและจำเป็นอย่างไร ต้องเสร็จภายใน 2 เดือน หรือจะก่อสร้างก่อนปีงบประมาณนี้สิ้นสุดหรือไม่ คำตอบคือไม่ เพราะสุดท้ายจะขยายระยะเวลาจนกระทั่งไปถึงสิ้นปี 2564 ถ้าจะมีความจริงใจกับสภา พ.ร.ก.ฉบับนี้ ควรต้องแยกมาเป็น 3 ฉบับ ฉบับ 1 เรื่องของสาธารณสุข ฉบับ 2 เรื่องของการเยียวยา และฉบับสุดท้าย เรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะตีตกโครงสร้างพื้นฐานให้ดู เพราะว่าสามารถไปบรรจุในงบปกติได้ และงบประมาณปี 2564 กำลังจะเข้าอีก 1 เดือน ไม่มีความเสียหายเลย แต่สภาจะได้ตรวจสอบอย่างละเอียดถึงความคุ้มค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์
สถานการณ์โรคระบาด แม้ว่าจะดูเหมือนสามารถควบคุมได้ แต่แลกมาด้วยเลือด น้ำตา และชีวิตของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งเดือดร้อน และไม่ได้รับการเยียวยาอย่างทันท่วงที หากย้อนไปเมื่อ 2 เดือนที่ได้อภิปรายในสภา ซึ่งได้บอกว่าตัวชี้วัดหนึ่งของรัฐบาลนี้ ในด้านเศรษฐกิจคืออัตราการฆ่าตัวตายของประชาชนจากพิษเศรษฐกิจ วันนี้หนักกว่าเดิม ซึ่งรัฐบาลพยายามจะใช้โควิด-19 เป็นแพะรับบาป แต่ในข้อเท็จจริงเศรษฐกิจมันดิ่งมาตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทาร์โอชา เข้ามายึดอำนาจ เมื่อปี 2557 ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ แตะก็ล้ม วิกฤตซึ่งหนักหน่วงอยู่แล้ว อย่างเช่นโควิด-19 จึงหนักกว่าที่เป็น หลักฐานที่ชี้ชัดที่สุดคือตัวเลขเศรษฐกิจ ตัวเลขอัตราการเติบโตของจีดีพี โดยธนาคารโลกระบุว่าปัญหาโควิด-19 ที่กระทบทั่วโลกโดยเฉลี่ยแล้ว จีดีพีทั่วโลกจะกระทบคือหดตัวร้อยละ 3 ประเทศไทยนำโด่งที่ร้อยละ 6-9 เลวร้ายที่สุดคือร้อยละ 9
สำหรับการเยียวยาที่เกิดขึ้น ประชาชนทุกคนเดือดร้อน ไม่มีคนไหนที่ไม่ได้รับผลกระทบและไม่เดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ หรือประชาชนทั่วไป เงินกู้ก้อนนี้ทุกคนก็มีส่วนในการใช้ ประชาชนทุกคนมีส่วนเท่ากันหมด เพราะเราต้องจ่ายคืนในรูปแบบของภาษี แต่การเยียวยาครั้งนี้ รัฐบาลเอาสิทธิ์อะไรมาไปตัดสินว่าประชาชนคนนี้มีความเดือดร้อนคน คนนั้นควรได้เงินเยียวยาหรือไม่ควรได้ คนถึงตกหล่นเป็นหลายสิบล้านคน เอาสิทธิ์อะไรไปตัดชีวิตเขาออก ไปตัดเอาความช่วยเหลือออกจากเขา จนเขาไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ในสภาพเศรษฐกิจอย่างปัจจุบัน ความล้มเหลวในการเยียวยาครั้งนี้ คือ 1.ไม่ทั่วถึง 2. ล่าช้า 3.ยุ่งยาก และ 4.ไม่รัดกุม และไม่ต้องไปถามว่าจะนำเงินไปใช้อะไร เพราะเงินนี้ไม่ใช่เงินของรัฐบาล แต่เป็นเงินของภาษีของประชาชน เป็นเงินของรัฐ ไม่ได้ควักมาจากกระเป๋าสตางค์ส่วนตัว เข้าใจด้วยว่าหน้าที่่ในการช่วยเหลือประชาชนในภาวะวิกฤตเช่นนี้เป็นหน้าที่รัฐบาล
huat เอาสามพีนอ้งมาติดตรางก่อนดีไหมคุอยมาเห่าหอนไม่ใช่หัวหน้าพรรคมึง
เหรอทีไปอยุต่างประเทศสุขสบายผีเร่ร่อนตามหลอกคนไมยมึงไม่มีความ
รู้สึกเลยไอ้พรรคผีดูดไอ่สัส
30 พ.ค. 2563 เวลา 22.52 น.
จ๊ะโอ๋ ถูกต้องที่สุดคร๊าบ เพราะไอ้ตู่และพรรคพวกมันชอบกู้กู้กู้เพื่อที่จะได้เงินทอนและเงินอื่นๆจากโครงการต่างๆเพื่อกระเป๋ากางเกงกระเป๋าสตางค์พวกมันจะได้ตุงอีกระลอก พวกมันอ้างว่าจะช่วยคนจนหรือแล้วที่ผ่านมาหน้ากระทรวงการคลัง กรมประชาสัมพันธ์ ธนาคารกรุงไทย หล่ะ ทำไม ปชช. ต้องมาตากแดดตากฝนและกินยาเพื่อที่จะตาย มาเกาะรั้วแล้วข้าราชการที่แดร๊กเงินภาษีออกมาไล่และปิดประตูรั้วไล่ ปชช. นี่หรือคือการช่วยเหลือ ปชช. เห็น ปชช. เป็นขอทานไล่อย่างกับหมาข้างถนน นี่หรือคือการช่วยเหลือ ปชช.
30 พ.ค. 2563 เวลา 17.02 น.
Inter translation เห็นด้วย ก็ยกมือสนับสนุน ไม่เห็นด้วย ก็ยกมือคัดค้าน
ที่ไม่เข้าใจคือ ไอ้พวกที่งดออกเสียง มันไม่มีสมองคิดเองเหรอว่า แค่เห็นด้วยหรือไม่ เท่านั้นเอง
30 พ.ค. 2563 เวลา 16.50 น.
เช็คปล่าวเตี่ยมึงดิ ไอ้ควาย ถึงมือชาวบ้านหลายล้านคนแล้ว
พวกมึงเฮี่ยจิงๆ
30 พ.ค. 2563 เวลา 16.45 น.
ลุงตู่เป็นคนดี ทำดีแน่นอน
ไม่เหมือน แม้วปูธร ต้องตกนรกหมกไหม้
ไอ้พวกเลวชั่วขายชาติ
30 พ.ค. 2563 เวลา 16.44 น.
ดูทั้งหมด