แม้ว่ารัฐบาลจะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์“เปิดช่องหายใจ” ให้แก่ภาคธุรกิจ ซึ่งจะหนุนช่วยให้เศรษฐกิจไทยไม่ดำดิ่งจนเกินไป อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวน่าจะต้องใช้เวลา เพราะเอฟเฟ็กต์จากไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ไม่สามารถกลับมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เต็ม 100%
โดย “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน เดือน มิ.ย. 2563 พบว่า นักลงทุนเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว หลังการปลดล็อกเศรษฐกิจทำได้เร็วกว่าที่คาดเอาไว้ อีกทั้งยังไม่มีความเสี่ยงผู้ติดเชื้อกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างในหลายประเทศ
ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาท ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันยังอ่อนค่าสุดในภูมิภาคที่ 6% สอดคล้องกับพื้นฐานของประเทศไทยที่พึ่งพิงกับการส่งออกและการท่องเที่ยวค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ในเดือน พ.ค. ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่า 2% และยังแข็งค่าต่อเนื่องถึงปัจจุบัน จากเม็ดเงินลงทุนที่ไหลกลับเข้ามาในประเทศ รวมถึงการค้าขายทองคำที่ขยายตัวสูง อย่างไรก็ดี คาดว่าจะเป็นปัจจัยชั่วคราว
“ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ต้องติดตามในระยะถัดไป ได้แก่ การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ การควบคุมการระบาดของโควิดในช่วงการผ่อนคลายให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้า ผลของมาตรการการเงินการคลัง และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน”
“ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะหดตัว -6% จากเดิมคาดว่าแค่ -5% เนื่องจากตัวชี้วัดด้านเศรษฐกิจต่าง ๆ หดตัวเกือบทั้งหมด ซึ่งแม้ว่าไตรมาส 1 เศรษฐกิจจะหดตัวน้อยกว่าคาด แต่ในไตรมาส 2 จะหดตัวลึกที่สุดเป็นเลข 2 หลัก และในไตรมาส 3-4 จะติดลบน้อยลง เป็นผลจากการผ่อนคลายล็อกดาวน์ แต่ก็จะยังไม่เห็นเศรษฐกิจเป็นบวก
ทั้งนี้ การส่งออกทั้งปีคาดว่าจะหดตัว-6.1% จากเดิมคาด -5% โดยบางช่วงอาจเห็นติดลบเป็นตัวเลข 2 หลักได้เนื่องจากปัญหาซัพพลายเชนที่ขาดตอน จากการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ ประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลให้ความต้องการสินค้าไทยลดล’ แม้ว่าการส่งออกในไตรมาสแรกจะยังเป็นบวก 1.19%แต่เป็นผลมาจากการส่งออกทองคำ ที่ช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 2563 มูลค่าส่งออกทองคำอยู่ที่ 6,373 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกือบเท่ากับปี 2562 ทั้งปีที่มีมูลค่าที่ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ด้านการลงทุนภาคเอกชนน่าจะหดตัวมากขึ้น สะท้อนผ่านกำลังการผลิตที่เหลือมากกว่า 55% ส่วนหนึ่งมาจากการชะลอการตัดสินใจการลงทุน ทั้งในส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์ พลังงาน ซึ่งมีผลกระทบในระยะข้างหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนทั้งปีน่าจะ -6.6%
“มุมมองจีดีพีจะ -6% มาจากปัจจัยถดถอยของการบริโภคภาคครัวเรือนที่ติดลบมากขึ้น โดยทั้งปีการบริโภคเอกชนจะหดตัว -2.3% และการลงทุนหดตัวกว่าที่ประเมินไว้ ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐยังขยายตัวได้ และเป็นตัวที่ทำให้การบริโภคไม่หดตัวลึกกว่าที่คาด โดยมาตรกาiทางการคลังเป็นเครื่องมือหลักในการพยุงเศรษฐกิจ ผ่านมาตรการเยียวยาที่ครอบคลุมกว่า 31.55 ล้านคน”
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามว่า หลังจากมาตรการเยียวยาหมดลงในช่วงเดือนก.ค.-ส.ค. ทั้งในกลุ่มประกันสังคมและกลุ่มเปราะบาง ซึ่งจะมีผู้ได้รับผลกระทบจากการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นระดับล้านคนต่อเดือนเนื่องจากหลังการผ่อนคลายล็อกดาวน์ การจ้างงานคงไม่กลับมาเป็นปกติเพราะยังต้องมีมาตรการเว้นระยะห่าง โดยเฉพาะในภาคบริการ ทำให้ยังมีคนว่างงานค้างอยู่ในระบบ จึงเป็นปัญหาที่จะต้องหาทางแก้ไขต่อไป
สำหรับนโยบายการเงินในช่วงหลังจากนี้ “ณัฐพร” มองว่า มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบเช่นเดียวกับธนาคารกลางอีกหลาย ๆ ประเทศ แต่ขณะนี้ยังไม่จำเป็น เนื่องจากนโยบายการคลังยังขับเคลื่อนได้
“จากนี้คงเป็นภาพที่ดอกเบี้ยต่ำล้อไปกับเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจคงไม่ฟื้นเร็ว เนื่องจากเรายังต้องอยู่กับโรคระบาด ต้องรอวัคซีน การจะให้เศรษฐกิจกลับมาเหมือนก่อนช่วงที่มีโควิด คงต้องรอไปอีก 2-3 ปี”
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทยังอยู่ในทิศทางแข็งค่าอยู่ แต่ระหว่างทางจะผันผวนตามปัจจัยแวดล้อมที่ไม่แน่นอน โดยสิ้นปีคาดว่าเงินบาทจะอยู่ที่ 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์
“ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นเงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าภูมิภาค เป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่มีประเด็นเรื่องของสงครามการค้า และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศและต่างประเทศของสหรัฐ รวมถึงการส่งออกที่ยังเป็นบวก ส่งผลให้มีเงินไหลกลับเข้ามา ซึ่งมองว่าเป็นปัจจัยชั่วคราว แต่โดยรวมแล้ว เนื่องจากประเทศไทยมีพื้นฐานที่ดี ทั้งการควบคุมโรค และดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะกลับมาเป็นบวก ทำให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าได้อีก” นางสาวณัฐพรกล่าว
ผลจากล็อกดาวน์ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัวลึกกว่าคาด สิ่งที่ตามมาคือ มีคนตกงานมากขึ้น ดังนั้นการเปิดช่องให้ธุรกิจได้หายใจ ก็น่าจะช่วยรักษาการจ้างงานได้ส่วนหนึ่งด้วย
Pilot guide ขยายต่ออีกสิครับ เคอร์ฟิว เอาจนเชื้อโรคตายหมดทุกตัวค่อยเปิดใช่มั้ยหมอ
05 มิ.ย. 2563 เวลา 12.13 น.
Ket บางคนโกยได้โกยเอา
05 มิ.ย. 2563 เวลา 12.13 น.
คนตกงานจะน้อยลง ถ้ารัฐใช้เงินที่กู้
มาจ้างงาน ปชช.ขอแนะนำ
เศรษฐกิจแย่ ศีลธรรมขาดหาย ปชช.
รู้สึกไม่ปลอดภัย และไม่เปนระเบียบ
ขอนำเสนอให้รัฐบาลจัดงบมาจ้างงาน
รปภ.ไว้เฝ้าและจัดระเบียบ ผดส.รถเมล์
ตามป้ายรถเมล์ทั่วทั้ง กทม.และปริมณฑล
เปลี่ยนเส้นทางวิ่งของรถเมล์ทั่วกรุง ให้
เหมือน BRT รับรองรถจะติดน้อยลงใน
1 ปี แล้วสร้างห้องน้ำบริเวณป้ายรถเมล์
พร้อมจ้างแม่บ้าน
ทำเช่นนี้ ชนชั้นแรงงานจะไม่ตกงาน
เศรษฐกิจก็ไม่ล้ม ปัญหารถติดจะค่อยๆหาย
ไปใน 1 ปี(จริงๆ)
คหสต.
06 มิ.ย. 2563 เวลา 11.09 น.
สจ.. เศรษฐกิจตกแบบเทียมๆเดียวมันจะดีเอง ใอ้ที่เขาปิดโรงงานเขาปิดเทียมๆเท่านั้นพี่น้องอย่าตกใจปิดไ้เขาก็เปิดได้เชื่อผู้นำสิ
05 มิ.ย. 2563 เวลา 12.15 น.
ดูทั้งหมด