คอลัมน์ จับกระแสตลาด
แม้ทีวีดิจิทัลจะเพิ่มจำนวนขึ้น แต่เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวีก็ไม่ได้โตขึ้น หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ตัวหารเพิ่มขึ้นจากช่องที่มากขึ้น อีกทั้งสถานการณ์การแข่งขันก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับต้นทุนที่พุ่งขึ้นจากทุกทิศทุกทาง ทั้งค่าโครงข่าย ค่าคอนเทนต์ รวมถึงความนิยมผู้ชม (เรตติ้ง) ที่ลดลงเรื่อย ๆ จากสื่อออนไลน์ที่โตขึ้นและแย่งชิงความสนใจของผู้ชมได้
สะท้อนจากข้อมูล บริษัท นีลเส็น (ประเทศไทย) จำกัด ที่รายงานเรตติ้งเฉลี่ยช่วง 9 เดือนปีนี้เทียบกับ 9 เดือนปี 2560 พบว่า แนวโน้มเรตติ้งลดลงทั้งตลาด โดยเฉพาะช่องเก่า เช่น ช่อง 7 ช่วง 9 เดือนปีก่อน มีเรตติ้ง 2.118 แต่ช่วง 9 เดือนปีนี้ เรตติ้งลดลงอยู่ที่ 1.831 ด้านช่อง 3 ตัวเลข 9 เดือนปีก่อนมี 1.369 และ 9 เดือนปีนี้เรตติ้งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยมีเรตติ้งอยู่ที่ 1.397 เป็นต้น ทั้งหมดกลายเป็นโจทย์หลักที่ทีวีทุกช่องกำลังเผชิญ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทีวีดิจิทัลต้องทำ คือ การบริหารจัดการต้นทุนให้อยู่หมัด เพื่อสร้างความอยู่รอด โดยเฉพาะบริหารจัดการคอนเทนต์ เพราะถือเป็นอาวุธหลักในการชี้ชะตาว่า จะตรึงคนดู ตรึงเรตติ้งได้อย่างไร เพราะถ้าคอนเทนต์ไม่ดี ไม่โดน คนก็ไม่ดู เรตติ้งก็ลดลง ทำให้เจ้าตลาด 2 ช่องใหญ่ คือ ช่อง 7 (ช่อง 35 เอชดี) และช่อง 3 (ช่อง 33 เอชดี) ก็อยู่นิ่งไม่ได้ แต่ปรับตัวถี่ขึ้น เพราะนาทีนี้ประมาทไม่ได้ เนื่องจากช่องใหม่เองก็ไล่บี้เก็บสะสมเรตติ้งมาเรื่อย ๆ
แหล่งข่าวจากธุรกิจทีวีดิจิทัล ให้มุมมองกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้ช่องใหญ่ โดยเฉพาะช่อง 3 และช่อง 7 กำลังถูกแชร์ส่วนแบ่งตลาดและเรตติ้งไปเรื่อย ๆ เพราะจำนวนช่องมากขึ้น คนดูมีทางเลือกเพิ่มขึ้น ประกอบกับสื่อออนไลน์ก็เข้ามาแย่งความสนใจของผู้ชมไปด้วย
ขณะเดียวกัน ด้วยจำนวนช่องที่มากขึ้น ตัวหารเม็ดเงินโฆษณาก็เพิ่มขึ้น แต่งบฯโฆษณายังอยู่ที่ 6 หมื่นล้านบาทเท่าเดิม ทำให้ผู้ประกอบการทีวีต้องเผชิญกับหลาย ๆ มรสุม โดยต้นทุนผลิตคอนเทนต์ถือเป็นต้นทุนหลัก ๆ ในขณะนี้ ดังนั้น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คือ หลายช่องที่มีสต๊อกเก่าก็นำคอนเทนต์เดิมมารีรันมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ช่อง 7 ที่เริ่มนำละครเก่ามารีรันในช่วงเวลาใหม่ยิงยาวตั้งแต่ 09.30-11.20 น. เพื่อรักษาเรตติ้ง เพราะอย่างน้อยละครเก่าที่เคยประสบความสำเร็จก็ยังมีฐานแฟนประจำ อีกทั้งช่วยลดต้นทุนผลิตคอนเทนต์ด้วย ขณะที่เรตติ้งก็ดี
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยกระแสโซเชียลมีเดีย สื่อออนไลน์ที่โตขึ้น ทำให้ช่อง 7 และช่อง 3 ก็ให้ความสำคัญกับช่องทางเหล่านี้เพิ่มขึ้น โดยช่อง 7 ได้ตั้งบริษัท บีบีทีวี นิวมีเดีย จำกัด เข้าดูแลการพัฒนาเว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น “บักกาบู ทีวี” อย่างชัดเจน รวมถึงเพิ่มความถี่ในการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนดูกับช่องมากขึ้น เช่น เปิดตัวเกมออนไลน์ที่ต่อยอดจากละคร “เกมพ่อมดเจ้าเสน่ห์” ปล่อยสติกเกอร์ไลน์ ชุด 7 เอชดี ดราม่า จัดมีตแอนด์กรี๊ดกับนักแสดง เป็นต้น ส่วนช่อง 3 ก็มีเปิดตัวแพลตฟอร์มออนไลน์ “Mello” เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ พร้อมจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนดูกับช่องผ่านละครหลังข่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อช่อง 7 ก็ส่งผังรายการใหม่ออกมา ซึ่ง “สมเกียรติ เจริญภิญโญยิ่ง” รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด ผู้บริหารช่อง 7 เอชดี กล่าวว่า เดือนตุลาคมนี้ได้ปรับผังรายการใหม่ โดยเพิ่มช่วงละครดังที่คิดถึงมาออกอากาศวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ เวลา 09.30-11.20 น. ประเดิมเรื่องแรก “แจ๋วใจร้ายกับคุณชายเทวดา” และเลื่อนเวลาออกอากาศของชุมทางดาวทอง เป็นเวลา 12.45-13.45 น. และเพิ่มความเข้มข้นด้วยโปรเจ็กต์พิเศษ ชุมทางคาราบาว พร้อมปล่อยละครหลังข่าว 3 เรื่องใหม่ลงจอด้วย ได้แก่ นางทิพย์ พ่อมดเจ้าเสน่ห์ และสายโลหิต
สำหรับวันเสาร์-อาทิตย์ ก็ปรับผังใหม่ โดยนำละคร “บ้านปั้นดาว” มาออกอากาศ 12.00-13.15 น. (แทนรายการ เกมพันหน้า ซูเปอร์เซเว่น) และนำซีซั่นนอลโปรแกรม “เปลี่ยนหน้า…ท้าโชว์ SING YOUR FACE OFF SEASON 4” กลับมาออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 18.20-19.50 น.
ขณะที่ช่อง 3 ก็ปรับผังช่วงวันอาทิตย์ตั้งแต่ต้นตุลาคมที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ใส่รายการ “The Mirror กระจกสะท้อนกรรม” แทนดันดารา โดยออกอากาศในเวลาเดิม คือ 17.00-18.00 น. และเวลา 18.20-19.50 น. ใส่รายการใหม่ “The Car อัจฉริยะทั้งคัน” แทนสมรภูมิชิงเพลง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ช่อง 3 ปรับผังต่อเนื่อง ทั้งนำละครเก่ามารีรันช่วงเช้า (08.00-09.30 น.) รวมถึงซื้อคอนเทนต์ต่างประเทศ ทั้งซีรีส์อินเดีย จีน ญี่ปุ่น มาออกอากาศเพิ่มขึ้น ซึ่งผลจากการปรับก็ทำให้ช่อง 3 มีเรตติ้งดีขึ้น ขณะที่ต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ก็ลดลง เพราะการซื้อคอนเทนต์จากต่างประเทศมีต้นทุนต่ำกว่าการผลิตรายการ ผลิตละครเอง
นอกจากนี้ ช่อง 3 ยังพยายามหารายได้ใหม่ด้วยการต่อยอดจากทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ ทั้งละคร นักแสดง ยกตัวอย่างเช่น การผนึกเจเคเอ็นนำละครไปจำหน่ายในต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ ไต้หวัน หรือจับมือกับ “เทนเซ็นต์” เตรียมออกอากาศละครเรื่องแรก ลิขิตรัก ไปออกอากาศคู่ขนานวันเดียวกันระหว่างไทยและจีนด้วย
เมื่อถูกท้าชิงจากช่องใหม่แบบหายใจรดต้นคอ เจ้าตลาดก็คงจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ แต่ต้องเปิดเกมรุกอย่างหนักและต่อเนื่อง
KΞΞ ดีครับแข่งขันกันเพื่อ ประชาชน พัฒนากันต่อๆไป ทุกๆวันศุกร์ ผมจะลองดูว่ามันมีอะไร ทำไมคนถึงบ่นกันเยอะเลย
19 ต.ค. 2561 เวลา 16.37 น.
mr.tum ละครไทยแม่งน้ำเน่าไปเคยเปลี่ยนแปลง
ดูหนังก็มีโฆษณาขั้นตลอดเสียอารมณ์
ใครจะดูวะ
19 ต.ค. 2561 เวลา 16.33 น.
Pin ช่อง 3 มีละครให้ดูเยอะ แต่น่าเบื่อที่โฆษณาเยอะจนต้องเลิกดูละคร ควรปรับปรุงมากที่สุด
19 ต.ค. 2561 เวลา 16.30 น.
iMagic moment เลิกดูไอ้พวกเผด็จการ จบ!
19 ต.ค. 2561 เวลา 16.01 น.
shin&jun มีแต่ละครน้ำเน่า! สมควรเจ๊งไปเถอะ!
19 ต.ค. 2561 เวลา 15.57 น.
ดูทั้งหมด