รัฐบาลป่วน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี’63 สะดุดซ้ำอีก 2 เดือน ต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ พิษ ส.ส.เสียบบัตรโหวตลงคะแนนแทนกัน ไม่มีงบฯลงทุนใหม่ กระทบแผนลงทุน ดับความหวังสุดท้ายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รัฐบาลเหลือเวลาเบิกจ่ายงบประมาณเพียง 3-4 เดือน ประธานสภาอุตสาหกรรมชี้ครึ่งปีแรกเศรษฐกิจน่าห่วง ต้องพึ่งส่งออก ท่องเที่ยว และการบริโภคภายใน หวั่นปัญหาลากยาว ยิ่งฉุดจีดีพี จี้ฝ่ายการเมืองเร่งหาทางออก
การลงมติในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2563 โดยผู้ลงมติไม่อยู่ในห้องประชุม อาจมีผลทำให้การประกาศใช้ พ.ร.บ.ประมาณ ล่าช้าออกไปอีกประมาณ 2 เดือน
นัด ส.ส.ถกวาระด่วน
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในวันที่ 22 มกราคม 63 ประธานรัฐสภาจะเรียกประชุมด่วน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อหารือวาระด่วน วาระการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ซึ่งคาดว่าจะต้องดำเนินการตาม มาตรา 148 แห่งรัฐธรรมนูญ “กรณีร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า”
งบฯลงทุนช้าไปอีก 2 เดือน
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า หาก พ.ร.บ.งบประมาณ ต้องส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ การใช้จ่ายงบประมาณต้องเลื่อนออกไปอีกอย่างน้อย 2 เดือน เดิมคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในช่วงเดือนมีนาคม อาจต้องเลื่อนเป็นเมษายน งบประมาณในการลงทุนจะออกสู่ระบบเศรษฐกิจได้ประมาณพฤษภาคม-มิถุนายน 2563 แต่กรณีเลวร้ายที่สุด หาก พ.ร.บ.ดังกล่าวศาลวินิจฉัยว่าผิดกระบวนการ ต้องเริ่มต้นใหม่ ก็แปลว่าปีนี้จะยังไม่มีงบประมาณในการลงทุนตามแผนที่วางไว้
“สถานการณ์เศรษฐกิจที่การส่งออกติดลบ เอกชนไม่กล้าลงทุน งบฯลงทุนรัฐไม่มี เหลือเพียงการบริโภคและการท่องเที่ยวจะยิ่งซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจ”
นายวราเทพ รัตนากร รองประธานกรรมาธิการงบประมาณ กล่าวว่า หากขั้นตอนส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ กระบวนการส่งร่างกฎหมายไปที่นายกรัฐมนตรีก็ต้องชะลอไว้ก่อน แต่ถ้าไม่มีผู้ยื่นเรื่องไปที่ศาล ร่างกฎหมายก็เข้าสู่กระบวนการปกติ
“หากมีผู้ต้องการทำเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด สมาชิก 2 สภา จำนวน 1 ใน 10 หรือ 75 คน ก็นำเรื่องหารือประธานรัฐสภา แล้วส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งขึ้นอยู่กับศาลว่าจะวินิจฉัยอย่างไร กรณีจำนวนเสียงที่ไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงมติหรือไม่” นายวราเทพกล่าว
แนะทางออกให้สภาโหวตใหม่
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ที่เปิดเผยข้อมูลการเสียบบัตรลงมติแทนกันว่า กรณีที่ นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ยอมรับกรณีที่นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีชื่อลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แต่นายฉลองกลับไม่ได้อยู่ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จึงแนะให้ ส.ส. 1 ใน 10 เข้าชื่อต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ตนเห็นแย้งกับฝ่ายกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย แต่สามารถแก้ไขได้โดยให้วุฒิสภาส่งร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯกลับมายังสภาผู้แทนราษฎร และทำการแก้ไขให้ถูกต้องด้วยการลงมติใหม่ในมาตราที่เป็นปัญหา หรือขอให้สภาลบคะแนนของนายฉลอง มาตราที่เป็นปัญหา มาตราละ 1 เสียง แทนการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
“เรื่องนี้ต่างกับกรณีนายอดิศร ทองธิราช ส.ส.พรรคเพื่อไทย กดบัตรแทนกันระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. …. (2 ล้านล้าน) ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยให้เป็นโมฆะ เนื่องจากกรณีนายอดิสรไม่ยอมรับ จึงต้องพิสูจน์ความจริง แต่กรณีของนายฉลองข้อเท็จจริงยุติแล้ว โดยนายสรศักดิ์ออกมายอมรับว่ามีการกดบัตรแทนกันจริง ดังนั้นในกรณีของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯก็ดึงกลับมาทำให้ถูก ไม่จำเป็นต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ เพราะงบประมาณผ่านสภาช้ากว่าที่ควรจะเป็นแล้ว อาจจะมีผลกระทบต่อการบริหารประเทศได้” นายนิพิฏฐ์กล่าว
นายนิพิฏฐ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ช่องทางการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความนั้น ตนเห็นว่าควรใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญมาตรา 148 ประกอบมาตรา 145ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนําร่างพระราชบัญญัติใดขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายต้องรอไว้ 5 วัน หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่า ร่างกฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ สามารถใช้ ส.ส. 1 ใน10 หรือ 75 คน ยื่นต่อประธานสภา ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา และแจ้งให้รัฐมนตรีทราบ
“ไพบูลย์” รับ พ.ร.บ.งบฯมีปัญหา
ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวว่า หลังจากวุฒิสภาเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯแล้วจะต้องส่งกลับมายังสภาผู้แทนราษฎร หลังจากนั้นประธานสภาจะส่งให้นายกรัฐมนตรี คาดว่าจะเป็นช่วงปลายสัปดาห์นี้จะถึงมือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม อย่างไรก็ตาม หากจะมีการยับยั้งร่างกฎหมายจะต้องเป็นไปตามมาตรา 148 โดยหลังจากนายกฯรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ จากประธานสภาแล้ว จะต้องรอไว้ 5 วัน หากมี ส.ส.เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ก็ให้เข้าชื่อกัน 1 ใน 10 ของ 2 สภา หรือสภาใดสภาหนึ่ง ต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
“หากในช่วง 5 วัน ที่ไม่มีการเข้าชื่อต่อประธานสภา นายกฯก็จะนำกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ ก็จะเป็นที่ยุติไม่สามารถโต้แย้งได้ แต่ในความเห็นส่วนตัวยอมรับว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯมีปัญหาทางกฎหมาย แต่ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯต้องตกไป” นายไพบูลย์กล่าว
ขาดเงินขับเคลื่อน ศก.
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า กรณีที่มีการเสียบบัตรแทนกันซึ่งส่งผลทำให้การโหวตคะแนนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณประจำปี 2563 บางมาตราอาจไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจะเป็นปัญหาอย่างไรหรือไม่ คิดว่ามุมมองของนักกฎหมายจะพิจารณาว่า กรณีความผิดเป็นอย่างไร และจะสามารถยุติในขั้นของสภาผู้แทนราษฎรได้หรือไม่ ซึ่งหากไม่สามารถยุติได้ตามกลไกก็จะต้องไปพิจารณาที่ศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ดี หากยังหาข้อยุติได้ช้า จะส่งผลกระทบต่อการออกงบประมาณปี 2563 จะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนนโยบายทุกนโยบายของประเทศ ไม่ใช่เฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ เนื่องจากการขับเคลื่อนแต่ละนโยบายมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน ฉะนั้น หาก พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ล่าช้า อาจจะได้รับผลกระทบในเรื่องงบฯลงทุนใหม่ที่ยังออกไม่ได้ ซึ่งอาจจะต้องใช้งบฯอื่นไปพลางก่อน
“ในส่วนของกระทรวงการคลังอยากให้มีข้อยุติ และมีความชัดเจนในเรื่องนี้โดยเร็ว เพื่อที่จะได้นำเม็ดเงินงบประมาณมาขับเคลื่อนประเทศต่อไป”
ทั้งนี้ สำหรับงบฯลงทุนใหม่ในงบประมาณปี 2563 มีราว 1-2 แสนล้านบาทส่วนที่เหลือจะเป็นงบฯลงทุนที่ผูกพันข้ามปี
เอกชนจี้เบิกจ่ายล่าช้ายิ่งฉุดจีดีพี
ด้านความเคลื่อนไหวของภาคเอกชน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า หากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯปี 2563 ที่มีปัญหาในการพิจารณาในสภาผู้แทนฯ จากการเสียบบัตรแทนกันนั้น จะส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการต่าง ๆ และจะกระทบต่อภาพรวมการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก และส่งผลต่อเนื่องถึงภาพรวมของเศรษฐกิจทั้งปี จากเดิมที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ประมาณการว่า ตัวเลขจีดีพีปี 2563 จะขยายตัว 2.5-3.0% หากมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้โดยเร็ว จากที่ล่าช้ากว่าปกติที่ต้องเริ่มเบิกจ่ายในเดือน ต.ค.
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น เป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมืองที่ต้องหาวิธีการแก้ไข ไม่ว่าจะฝ่ายไหน รัฐบาลหรือฝ่ายค้าน หากไม่มีการลงทุนภาครัฐภาคเอกชนต้องพึ่งตัวเองมากขึ้น และอาศัยรายได้จากเครื่องจักรขาอื่น ๆ ทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว และการบริโภค ซึ่งคงต้องช่วยกันทุกทาง หากต้องการเห็นเศรษฐกิจดีขึ้นตามที่วางไว้” นายสุพันธุ์กล่าว
คลิกอ่านข่าวเกี่ยวข้อง >>> ออกพ.ร.ก.กู้เงิน! “สมคิด” งัดแผนสำรองแก้ปม พ.ร.บ.งบประมาณ 63 แท้ง
บัญญัติ เคราะห์ซำ้กรรมซัดแท้หนอปชช.ไทย มีผู้นำเป็นโจรสมองไม่สมประกอบ ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติอากาศหายใจจากฝุ่นพิษ แล้วยังมาเจอฝูงลิงลิ่วล้อรัฐโจรมาทำให้การลงทุนติดชะงัก ทุกอย่างล้วนเกิดจากการกระทำของรัฐบาลโจร500
23 ม.ค. 2563 เวลา 01.30 น.
kent737 พวกนี้มันไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว
มีแต่บอกต้องทำตามขั้นตอนทั้งที่ตัวเองทำผิด ไม่เคยลงโทษอะไร
23 ม.ค. 2563 เวลา 01.23 น.
Prasit พอพรรคบอกผืดต้องส่งศาล แต่พอรัฐบาลนี้บอกทำได้ไม่ต้องส่ง เลวได้ใจ
23 ม.ค. 2563 เวลา 01.34 น.
เด็กเมืองรัมย์ เอาที่ท่านสะบายใจ อย่าให้พวก ปชช ทนไม่ไหวน่ะ ทนมา5ปี เลวกว่าเดิมอีก รวมพวกโจรชัดๆ
23 ม.ค. 2563 เวลา 02.22 น.
เล็ก ชรบ. 201 เห้อออ!!!
23 ม.ค. 2563 เวลา 01.36 น.
ดูทั้งหมด