เรื่องราวชวนขนหัวลุกจากกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางในจังหวัดอุบลราชธานี…
**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเรื่องเล่าต่อไปนี้**
"เรื่องเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายนปี 2016 เราก็แพลนกันไปเที่ยวที่อุบลฯ กันกับเพื่อน ๆ อีก 4 คน ซึ่งเรามีบ้านคุณป้าอยู่ที่นู่น ที่อำเภอวารินชำราบ ตัวเราเองอะเคยไปมาแล้ว ครั้งนี้ก็เลยกะจะไปเยี่ยมแกแล้วก็พาเพื่อน ๆ ไปนอนพักที่บ้านด้วย
เราทั้ง 5 ก็นั่งรถไฟกันไปด้วยความที่เพื่อนอยากไปแบบเก๋ ๆ ชิค ๆ แต่ดันจองตั๋วรถไฟช้าเลยได้เป็นตู้นั่ง เพื่อนทุกคนไม่มีปัญหากันเรื่องนอนเลย ทุกคนหลับกันสบาย แต่ตัวเราเองเป็นคนที่ไม่ชินแล้วจะนอนไม่ได้ เลยไม่ได้นอนทั้งคืน ไปนั่งเล่นที่ตู้เสบียงแทน
ตอนประมาณเที่ยงคืน ระหว่างที่รถไฟแล่นมาอยู่ดี ๆ ทั้งขบวนก็หยุดกึก สักพักนายสถานีก็ตะโกนมาบอกว่ามีรถไฟขบวนก่อนหน้าตกราง จะดีเลย์ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เราก็เลยเดินจากตู้เสบียงกับไปอยู่กับเพื่อน ๆ และหลังจากนั้นก็ไม่ได้นอนเหมือนเดิมจนถึงตอนที่รถไฟเข้าชานชาลาที่อุบลฯ
บ้านป้าต้อยที่เราจะไปพักกันอยู่ใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟ ตั้งอยู่เยื้อง ๆ ก้บทางสามแพร่ง เป็นบ้านแบบไทย ๆ ที่สร้างแบบอะแดปต์แล้ว คือก็ใหม่นะแต่ก็ยังคงมีองค์ประกอบที่ยังดั้งเดิมอยู่ หน้าบ้านมีรั้วสูง เลยเข้าไปด้านซ้ายมีโต๊ะหินให้นั่งทานอาหารอยู่ ด้านขวาเป็นแคร่กับครัว เลยครัวไปก็จะมีห้องน้ำ หลังบ้านก็จะมีเปล เป็นพื้นที่ให้นั่งเล่นชิล ๆ และด้านซ้ายสุดของตัวบ้าน จะมีซอกแคบ ๆ ระหว่างผนังด้านนอกกับรั้วบ้าน ซึ่งป้าต้อยเอาไว้เก็บของ
ป้าต้อยอยู่ตัวคนเดียว แกก็จะมีห้องนอนและห้องเอาไว้เล่นคอมพิวเตอร์ ซึ่งหน้าห้อง มีศาลอยู่ด้านหน้า เป็นที่วางรูปพ่อกับแม่แกที่เสียไปแล้ว อารมณ์เหมือนตี่จู่เอี๊ยะบ้านคนจีน พอขึ้นไปชั้นสอง จะเป็นโถงใหญ่ ๆ ทั้งหมดเป็นพื้นไม้ มีเสาบ้านอยู่ตรงกลาง ไม่มีหน้าต่างแต่ด้วยความที่เป็นไม้แผ่น ๆ ที่ใช้ตอกฝากบ้านเลยทำให้แสงจากด้านนอกเล็ดเข้ามาได้ ป้าต้อยก็เตรียมฟูกที่นอนพร้อมกับมุ้งไว้ให้เราทั้งหมดบนนี้
นี่คือความรู้สึกแรกที่ทุกคนรู้สึกเกี่ยวกับบ้าน ซึ่งสำหรับเราก็ไม่ได้กลัวอะไรเพราะเคยมาอยู่กับป้าต้อยแล้ว ญาติ ๆ ที่มาอยู่ก็ลงความเห็นกันว่ามันประหลาด ๆ แต่ก็ยังไม่มีใครเคยเจออะไร มากที่สุดก็แค่เพื่อนป้าต้อยคนนึงที่ทักเรื่องศาลว่าทำไมถึงเอาเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วก็เดินตกบันไดไปเลย แต่ตัวเราก็ไม่ได้รู้สึกเชื่ออะไรเพราะมันก็เป็นแค่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้
เที่ยวกันทั้งหมดอีก 3 วัน วันแรกก็ไม่มีอะไร ทุกคนแฮปปี้ ไปขึ้นอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย แวะเที่ยวเขื่อนสิรินธร เดินตลาดกลางคืนหาอะไรกิน กลับบ้านมาเพื่อนสองคนก็นั่งทำงานกินเบียร์กันต่ออยู่ที่โต๊ะหินหน้าบ้าน เช้าวันต่อไป ป้าต้อยก็แนะนำให้ไปไหว้พระที่วัดแห่งหนึ่งใกล้ ๆ ผาแต้ม เราก็เลยแพลนกันไปเที่ยวแถว ๆ อำเภอโขงเจียม แล้วแวะไปน้ำตกลงรูด้วย
ระหว่างทางฝนตก เวลาตอนนั้นประมาณ 4 โมงครึ่งแต่แสงเริ่มโพล้เพล้เพราะอากาศมันครึ้ม เส้นทางก็มีความแอบงงเพราะช่วงนึงเป็นถนนปูยาง อีกช่วงหนึ่งตรงที่มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ก็กลายเป็นดินลูกรัง ขับไปอีกสักแป๊บก็กลับมาเป็นถนนดี ๆ อีกรอบ
Google Map บอกว่าอีก 14 กิโลกำลังจะถึงน้ำตก และด้วยความง่วงเพื่อน ๆ ก็เริ่มหลับ ส่วนเราคอยช่วยดูทาง พอกำลังจะเข้าทางที่เป็นลูกรังอีกครั้ง ก็เตือนเพื่อนว่าอย่าขับเร็วนะ ทางมันไม่ค่อยดีเดี๋ยวเป็นอันตราย เพื่อนคนอื่น ๆ ก็ยังคงหลับอยู่เหมือนเดิมแต่หลับแบบสะลึมสะลือ อยู่ดี ๆ เพื่อนคนที่นั่งอยู่เบาะหลังก็สะดุ้งตื่นแล้วตะโกนบอกคนขับว่า “แก ระวังคุณยาย!”
เราหยุดรถ ทุกคนนั่งเงียบ
“คุณยายไหน” เราส่งสายตาถามกัน
ทุกอย่างข้างนอกก็เงียบ..
ก่อนที่จะมาทริปนี้ เราตกลงกันว่าถ้ามีอะไรที่ผิดปกติจะไม่พูดกันจนกว่าจะกลับกรุงเทพฯ เพื่อนคนที่สะดุ้งตื่นก็เลยบอกทุกคนว่าไม่มีอะไร แค่ตาฝาดไปเฉย ๆ
วันก่อนกลับคือวันที่พีกที่สุดสำหรับทริปนี้ ด้วยความที่ป้าต้อยเป็นหมอดู แกเลยอาสาว่าจะดูดวงและทำพิธีลงนะหน้าทองให้หลาน ๆ ทุกคน ซึ่งเราก็กลัวว่าเพื่อน ๆ จะไม่สบายใจกันหรือเปล่าแต่พอถามแล้วทุกคนโอเค เห็นว่าแกอยากทำให้เพราะเอ็นดูและประสงค์ดีกับพวกเรา ก็เลยเริ่มทำพิธีกันตอนหัวค่ำ
โต๊ะหมู่บูชาตั้งอยู่ตรงข้าง ๆ ศาลที่มีรูปพ่อแม่ป้าต้อย แกก็ให้เรานั่งเรียงกันแล้วเริ่มเปิดบทสวดชินบัญชรซึ่งแกน่าจะไปอัดจากวัดตอนที่มีทำบุญใหญ่ เราก็นั่งหลับตา ตอนนั้นคิดถึงฉากจากเรื่องลองของเลย อารมณ์ประมาณนั้น เราก็เริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่ก็อดทนอยู่ในพิธีต่อไปและนั่งหลับตาต่อไป
ภาพที่เห็นตอนหลับตา คนส่วนใหญ่ก็จะเห็นเป็นแค่ความมืด เป็นสีดำ แต่สิ่งที่เราเห็นตอนหลับตาคือขาคนสองคู่ยืนอยู่ข้างหน้า เราไม่รู้ว่าเขาคือใคร แต่ชัดมาก ๆ และก็ไม่กล้าลืมตาเพราะกลัว
บทสวดก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างมันวังเวงมาก ๆ บรรยากาศชวนให้ขนลุก เพื่อนเราสองคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ก็เริ่มขยับตัว ไม่ได้ดิ้นเพราะของเข้านะ แต่เป็นการขยับตัวแบบรู้สึกไม่สบายตัวไม่สบายใจกับสถานการณ์มากกว่า พอสวดเสร็จปุ๊บก็เป็นขั้นตอนของการเจิมหน้าผากด้วยขี้ผึ้งและทองคำเปลว ซึ่งเพื่อนทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เดินออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกเลย
คืนนั้น ทุกคนอาบน้ำกันเสร็จสรรพก็ขึ้นมานอน เหลือแค่เพื่อนคนเดียวที่ต้องนั่งเคลียร์งานอยู่หน้าบ้าน อีก 3 คนนอนกันแล้วแต่เรายังไม่หลับ ก็กลิ้งไปกลิ้งมา รอบ ๆ ตัวมืดจนไม่เห็นอะไรแต่สักพัก รู้สึกเหมือนมีคนเอื้อมมือข้ามตัวมาตรงรางปลั๊กที่อยู่ฝั่งซ้ายของฟูกเรา ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้คิดอะไรนะ แค่นึกว่าเพื่อนที่นอนติดกันทำงานเสร็จแล้ว ขึ้นบ้านมาแล้วอยากจะชาร์จแบตโทรศัพท์ แต่แป๊บเดียวเท่านั้น พีกที่สุดก็คือเพื่อนคนที่ว่ากำลังเดินขึ้นบ้านมา ทำหน้าเลิ่กลั่ก วางคอมแล้วรีบนอนทันที
“แล้วใครเสียบปลั๊ก!”
เรารีบเทความคิดทุกอย่างออกแล้วข่มตานอน วันต่อมาก็ลาป้าต้อยแล้วเดินทางกลับกรุงเทพ ซึ่งทุกอย่างถูกเฉลยตอนนี้..
เพื่อนสองคนที่ขยับตัวแบบลุกลิก ๆ ระหว่างที่ป้าต้อยทำพิธีเล่าว่าพวกนางแอบลืมตาขึ้นมาดูแล้วเห็นพ่อกับแม่ของป้าต้อยยืนอยู่ เราก็ถามกลับไปว่ายืนตรงไหน ทั้งสองคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ายืนอยู่ข้างหน้าเรา พอมองออกไปข้างนอกบ้าน ตรงถนนหน้าบ้านก็เห็นแต่เงาของคน มีตาสีแดง ๆ หลาย ๆ คู่มองเข้ามาในบ้านแต่อยู่แค่ข้างนอก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขามากันเพราะบทสวดมนต์หรือเปล่า
เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของป้าต้อยอีกเรื่องก็คือหนึ่งในเพื่อนสองคนนั้นฝันเห็นผู้ชายแก่คนหนึ่ง แกเดินเข้ามาบอกว่า “เป็นเด็กเป็นเล็ก หนูอย่ากินเบียร์ในบ้านสิ ไม่น่ารักเลยนะ” ซึ่งทั้งสองคนนี้ชอบดื่มเบียร์ก่อนเข้านอนมาก ๆ ดื่มกันทุกคืน มารู้ทีหลังว่าคนที่เข้าฝันมาเตือนก็คือคุณพ่อของป้าต้อยเพราะหน้าตาและลักษณะตรงกับในรูปหน้าศาลเป๊ะ ๆ
ส่วนอีกเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนสุดท้ายกับเพื่อนคนที่ลงไปนั่งทำงานหน้าบ้านก็คือระหว่างที่นางนั่งพิมพ์นู่นพิมพ์นี่ในคอมฯ อยู่ ก็มีเด็กคนนึงเดินมาอยู่หน้าบ้าน..
“พี่ ๆ เก็บลูกบอลให้หน่อย” เด็กคนนั้นบอก
เพื่อนเราก็ตอบน้องไปว่าไม่มีลูกบอลนะหนู พี่นั่งอยู่ตั้งนานยังไม่เห็นลูกบอลอะไรกลิ้งเข้ามาเลย
“พี่ ๆ เก็บลูกบอลให้หน่อย” เด็กพูดซ้ำ
ด้วยความที่ช่องระหว่างรั้วที่สูงของบ้านกับกันสาด เพื่อนเราก็มั่นใจว่าไม่มีลูกบอลหรืออะไรที่สามารถเล็ดรอดเข้ามาได้อย่างแน่นอน นางก็เลยตอบเด็กไปว่าไม่มีลูกบอลจริง ๆ นะ ในใจก็เริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมน้องมาเล่นลูกบอลดึกจังเพราะตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ ๆ 5 ทุ่มแล้ว
เด็กก็เดินกลับมาอีกรอบบอกเพื่อนเราว่าตรงซอกทางซ้ายด้านหลังของบ้านมีลูกบอลจริง ๆ ไปเก็บให้เขาหน่อย เพื่อนเราก็ตัดความรำคาญเดินไปดูตามตำแหน่งที่น้องบอก ซึ่งทุกอย่างมืดสนิท มีแค่แสงจากไฟฉายจากมือถือเท่านั้น เพื่อนบอกว่ามั่นใจมาก ๆ ว่าตั้งแต่ตอนที่มาพักที่บ้านหลังนี้ ยังไม่เห็นใครเดินไปยุ่งกับซอกเก็บของของป้าต้อยเลย
นางก็เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงหลังบ้าน มีโต๊ะเก่า ๆ ตัวหนึ่งตั้งอยู่ และบนนั้นมีลูกบอลอยู่หนึ่งลูกวางเอาไว้ตามที่น้องคนนั้นบอกเป๊ะ
เพื่อนเราก็สงสัยว่าลูกบอลจะเพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านได้ไง แต่พอเดินไปดูใกล้ ๆ ปรากฏว่าลูกบอลถูกเคลือบไปด้วยคราบดินคราบโคลนที่แห้งจนกรัง แสดงว่ามันอยู่ตรงนี้มานานมาก ๆ แล้ว ตอนนั้นรู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้ไม่ชอบมาพากลซะละ เพื่อนก็มองไปรอบ ๆ แล้วก็เจอหัวเด็กอยู่ตรงช่องระหว่างรั้วกับกำแพงบ้านที่สูงมาก มองลงมา เจอชอตนี้เข้าไป นางก็เลยเดินไปหยิบคอมพิวเตอร์แล้วเดินขึ้นบ้านไปนอนทันที และนั่นก็คือตอนที่เราเห็นหน้าเพื่อนเลิ่กลั่กมุดตัวเข้ามุ้งแล้วข่มตาหลับ ส่วนเราที่กำลังสงสัยเรื่องมือปริศนา ก็รีบหลับตามไปในทันที
จนถึงวันนี้ป้าต้อยก็ยังคงไม่รู้ว่ามีอะไรประหลาดเกิดขึ้นที่บ้านของแกบ้าง ส่วนกลุ่มเราไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนก็ยังคงเจอเหตุการณ์ลี้ลับอยู่ในทุกทริป ข้อตกลงก็ยังคงเหมือนเดิม ถ้าเจออะไรแปลก ๆ เราจะไม่พูดถึงมันจนกว่าจะกลับถึงบ้าน…"
ติดตามเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกจากทางบ้านได้บน LINE TODAY ทุกวันพุธ – พุธนี้ผีดุ
Arkoms. พุธนี้ผีดุ อ่านแล้วตื่นเต้นตามไปด้วย เขียนเล่าเรื่องได้ดี กระชับ ชัดเจน น่าขนลุก สั่นประสาทดี สนุกๆ
05 ส.ค. 2563 เวลา 06.10 น.
Pin98 💰💵💵💵 จะมาทุกพุธหราค่ะ
05 ส.ค. 2563 เวลา 07.08 น.
🐷nuchnongnuch🐷 แล้วที่เพื่อนตะโกนในรถว่า"แก ระวังคุณยาย"ล่ะ ไม่เฉลยให้ฟังเลย🙂
05 ส.ค. 2563 เวลา 14.37 น.
Love isn't concept ติดตามๆๆๆๆ มีทุกพุธใช่ไหมครับ
05 ส.ค. 2563 เวลา 12.26 น.
🥲NoNe😅 น่ากลัวๆ
05 ส.ค. 2563 เวลา 14.11 น.
ดูทั้งหมด