รถแช่ขวา เป็นเหตุ ทำหนุ่มขับปิกอัพพุ่งชนกระบะอีกคัน แม่ยายดับ สาหัสอีก 4

รถแช่ขวา เป็นเหตุ ทำหนุ่มขับปิกอัพพุ่งชนกระบะอีกคัน แม่ยายดับ สาหัสอีก 4 หลังต้องหักหลบก่อนชนรถสวนทางเข้าอย่างจัง ตัวเอง เมียลูก 7 ขวบสาหัส แม่ยายเสียชีวิต คนขับคู่กรณีก็สาหัส

รถแช่ขวา วันที่ 23 ก.ย. ร.ต.อ.เรืองศักดิ์ แสงคำ รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ได้รับแจ้งเหตุรถชนกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บติดภายในรถหลายคน บริเวณหน้าร้านติงลี่ของเก่า หลักกิโลเมตรที่ 93-94 ถนนลำปลายมาศ-บุรีรัมย์ อ.ลำปรายมาศ จ.บุรีรัมย์ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างจรรยาธรรม จุด อ.ลำปลายมาศ และจุด อ.เมือง และเจ้าหน้าที่สมาคมกู้ภัยอัมรินทร์ใต้

ที่เกิดเหตุเป็นถนน 4 เลน พบรถกระบะโตโยต้า 4 ประตู สีขาว ทะเบียน ขก 6608 ขอนแก่น ชนประสานงากับรถกระบะอีซูซุ สีเทา ทะเบียน บบ 557 บุรีรัมย์ อยู่ในเลนซ้ายมุ่งหน้าตัวเมืองบุรีรัมย์ ในสภาพยับเยินทั้ง 2 คัน มีน้ำมันเครื่องไหลนองจำนวนมาก จากการตรวจสอบภายในรถกระบะอีซูซุ พบผู้บาดเจ็บ 4 ราย ประกอบด้วย นายสงกรานต์ ขันรักษา อายุ 37 ปี คนขับ น.ส.ลลิตา คมนสุภสวัสดิ์ อายุ 35 ปี สองสามี-ภรรยา ด.ช.หน่อย (นามสมมติ) อายุ 7 ขวบ ลูกชาย และนางจุไรรัตน์ คมนสุภสวัสดิ์ แม่ยายคนขับรถ ติดภายในรถ

เจ้าหน้าที่จึงใช้เครื่องตัดถ่างงัดซากรถเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บออกมา โดยพบว่าทั้งหมดอาการสาหัส จากนั้นจึงรีบนำตัวส่ง ร.พ.ลำปลายมาศ แล้วส่งที่ ร.พ.ศูนย์บุรีรัมย์ ก่อนที่ นางจุไรรัตน์ จะทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนรถกระบะโตโยต้า มีนายธงชัย พลศรี ชาว จ.นครราชสีมา เป็นคนขับ ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน

จากการสอบถามญาติของผู้ที่อยู่ในรถกระบะอีซูซุ เล่าว่า ทั้งหมด 4 คน เป็นครอบครัวเดียวกัน ก่อนเกิดเหตุคนขับรถได้พาแม่ยายที่เดินทางมาจาก กทม. ไปขนของที่ห้องเช่าในตัวเมืองบุรีรัมย์ จะเอามาเก็บไว้ที่บ้านใน อ.ลำปลายมาศ กระทั่งมาทราบว่าเกิดเหตุดังกล่าว ส่วนรถโตโยต้าที่ได้รับบาดเจ็บตำรวจยังไม่ทราบข้อมูล

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่

ขณะที่ นายกฤดา พาจงวัฒนา อายุ 28 ปี ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่าช่วงเกิดเหตุตนกำลังยืนอยู่ข้างถนน เห็นรถกระบะคันหนึ่งวิ่งมาแบบช้าๆ ชะลอความเร็ว แต่ขับอยู่บนเลนขวา ทันใดนั้นได้มีรถกระบะอีซูซุวิ่งมาด้วยความเร็ว เมื่อวิ่งมาถึงได้หักหลบไปทางขวาก่อนจะพุ่งชนประสานงากับรถกระบะโตโยต้าอย่างจัง เบื้องต้นตำรวจจะได้สอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง ก่อนดำเนินการต่อไป