ถึงนาทีนี้มีการคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับคดีเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันศุกร์นี้ โดยส่วนใหญ่แทงหวยว่า "ยุบ" มากกว่า "ไม่ยุบ"
แต่จากการตรวจสอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พบว่าผลวินิจฉัยของคดีนี้ยังมีโอกาสออกได้ 3 แนวทาง / แต่ก่อนจะลงลึกถึง 3 แนวทางนั้น ต้องเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า ข้อหาที่ กกต.ชงให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ เป็นความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 72 ที่กำหนดห้ามพรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฉะนั้นการวิเคราะห์แนวโน้มคำวินิจฉัย จะต้องตั้งอยู่บนข้อหาตามมาตรา 72 เป็นหลัก
แนวทางแรก ยุบพรรค-ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ซึ่งหากคำวินิจฉัยออกมาแนวนี้ แสดงว่าศาลมองว่าพรรคการเมืองไม่สามารถกู้เงินได้ โดยอ้างอิงตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 62 ที่เขียนไว้ชัดว่า พรรคการเมืองอาจมีรายได้จาก 7 ช่องทาง แต่ไม่มีเรื่องการกู้เงิน
ฉะนั้นเมื่อพรรคการเมืองกู้เงินไม่ได้ การที่พรรคอนาคตใหม่รับเงินกู้มา จึงถือเป็นการรับ "เงินหรือประโยชน์อื่นใด" โดยรู้หรือควรรู้ว่าได้มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย / คือศาลไม่ได้มองว่าเงินนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น เป็นเงินค้ายา
แต่มองว่าวิธีการได้มาไม่ชอบตามกฎหมาย เพราะกฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้กู้ แต่พรรคอนาคตใหม่ดันไปกู้มา
ถ้าศาลเชื่อแบบนี้ ผลก็คือ พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ตามมาตรา 92 / และ กกต.ต้องเดินหน้าฟ้องคดีอาญากับผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคด้วย เพราะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี / แนวทางนี้ถือว่า "จัดหนัก"
แนวทางที่ 2 วินิจฉัยว่าการกู้เงินเป็นเรื่องผิด แต่ไม่ยุบพรรค / หมายความว่าการกู้เงินเป็นเรื่องไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะกฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้ทำได้ และมองว่าการทำสัญญากู้ในระยะยาว ไม่มีหลักประกัน แถมดอกเบี้ยต่ำ ยอดกู้เกือบ 200 ล้านบาท อาจถือได้ว่าเป็นการทำ "นิติกรรมอำพราง" เพื่อหลีกเลี่ยงหลักเกณฑ์การรับบริจาค ซึ่งกฎหมายกำหนดให้บุคคลสามารถบริจาคได้ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อพรรคต่อปี
เมื่อตีความว่าเป็นการบริจาคเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ก็จะเข้าข่ายผิดมาตรา 66 คือบริจาคเกินเกณฑ์ มีความผิดทั้งผู้บริจาค และพรรคที่รับบริจาค
โดยผู้บริจาค ในกรณีนี้ก็คือนายธนาธร หัวหน้าพรรค ผิดตามมาตรา 124 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งอีก 5 ปี
ส่วนพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะผู้รับบริจาค จะผิดตามมาตรา 125 ระวางโทษปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีกำหนด 5 ปี และให้ริบเงินส่วนที่เกิน 1 ล้านบาทเข้ากองทุนพัฒนาพรรคการเมือง (ริบ 190.2 ล้านบาท)
ขณะที่โทษยุบพรรคตามมาตรา 72 ศาลอาจตีความเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าน่าจะหมายถึง "ที่มาของเงิน" ไม่ชอบด้วยกฎหมายมากกว่า ซึ่งหากตีความแบบนี้ พรรคอนาคตใหม่ก็จะรอดจากการถูกยุบพรรค
แนวทางที่ 3 ศาลยกคำร้อง โดยอาจวินิจฉัยว่าการกู้เงินเป็นเรื่องผิด แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดโทษเอาไว้ จึงสั่งให้คืนเงิน / หรือวินิจฉัยว่าการกู้เงินไม่ผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายไม่ได้ห้าม ตามที่พรรคอนาคตใหม่อ้างมาตลอดก็เป็นได้
แต่แนวทางนี้ หากศาลวินิจฉัยออกมาจริง ก็ต้องตอบคำถามว่าจะวางบรรทัดฐานให้พรรคการเมืองกู้เงินมาใช้ทำกิจกรรมทางการได้เมืองอย่างเสรี จนทำให้เกิดการครอบงำพรรค หรือประมูลซื้อเก้าอี้รัฐมนตรีกันล่วงหน้าตามที่หลายฝ่ายกังวลหรือไม่
นี่คือ 3 แนวคำวินิจฉัยคดีเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่ที่พอจะประเมินได้ในช่วงนับถอยหลัง / ส่วนคำวินิจฉัยจริงจะออกหน้าไหน คงต้องเตรียมใจรอลุ้นกันเอาเอง
ไปตายสะไอ้พวกหนักแผ่นดิน
20 ก.พ. 2563 เวลา 07.36 น.
Kovit เนชั่นเป็นสื่อที่จังไร
20 ก.พ. 2563 เวลา 07.21 น.
Kovit เนชั่นเป็นสื่อที่จังไรมาก
20 ก.พ. 2563 เวลา 07.18 น.
บอม บูรพา ยุปพรรคอื่นที่กู้มาด้วยนะ เอาพรรคที่เลี้ยงโต๊ะจีนด้วย
20 ก.พ. 2563 เวลา 07.09 น.
sodsai ยุบให้เหลือพรรคเดียวจะได้หมดปัญหา..
20 ก.พ. 2563 เวลา 07.03 น.
ดูทั้งหมด