เราทุกคนก็ต่างมีความคิดด้วยกันทั้งนั้น บางคนคิดมาก บางคนคิดน้อยแตกต่างกันไป
เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมามีชายวัยกลางคนมาขอพบหมอด้วยรู้สึกว่าไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตมา 6 เดือน
ด้วยความคิดกังวลมากกว่าปกติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อค่อยๆซักถามลงไปในรายละเอียด พบว่าผู้ชายคนนี้เริ่มมีความคิดกังวลเกิดขึ้นหลังจากลูกสาวคนแรกลืมตาดูโลก
สิ่งที่เขารู้สึกแปลกใจในตัวเองคือ เขาอยู่ในช่วงเวลาของชีวิตที่ควรมีความสุขมากที่สุด
มีลูกที่น่ารัก มีภรรยาที่ดี มีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีทุกอย่างที่เคยอยากมี
แต่เมื่อมีแล้ว กลับคิดกลัวว่าจะสูญเสียมันไปทั้งที่ยังไม่สูญเสีย
*“ผมรู้ว่าไม่ควรคิดแต่ห้ามความคิดไม่ได้ ” *
เมื่อถามลึกลงไป เบื้องหลังความกลัว ผู้ชายคนนี้เคยต้องสูญเสียพ่อที่เขารักอย่างกะทันหันด้วยอาการหัวใจวาย การสูญเสียในครั้งนั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับชีวิต จากครอบครัวที่อบอุ่น มั่งมีด้วยการเป็นเจ้าของโรงงานใหญ่ ต้องกลายเป็นครอบครัวที่ต้องขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง และเพราะไม่มีใครที่รู้เรื่องการบริหารโรงงาน หลังจากพ่อเสียจึงประสบปัญหาทางธุรกิจจนต้องขายโรงงานใช้หนี้ กับสถานะที่เปลี่ยนแปลง คนรอบตัวก็เริ่มเปลี่ยนไป
หลังจากนั้นเขาเฝ้าบอกว่า*“ฉันจะต้องกลับมาร่ำรวยและเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีแทนพ่อให้ได้” * แรงผลักดันในวันนั้นทำให้วันนี้ เพื่อนๆต่างบอกว่า เขาน่าจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดคนหนึ่ง
แต่สำหรับเขาแล้วยิ่งมีสิ่งที่เคยปรารถนาเท่าไร เขายิ่งมีความทุกข์จากความคิดกังวล กลัวว่าจะสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป
“ออ ผมแค่กลัวการสูญเสีย” สีหน้าท่าทางของเขาเปลี่ยนไปในทันทีหลังจากเอ่ยคำนี้ออกมา
ที่สำคัญเขาเริ่มเห็นช่องทางในการดูแลความคิดของตัวเองได้ด้วยตัวเอง
*กระบวนการดูแลความคิดที่รู้ว่าไม่ควรคิดแต่ห้ามความคิดไม่ได้คือ *
1.รับรู้ว่าเราเกิดความคิด : เราทำอะไรบางอย่างเพราะเชื่ออะไรบางอย่าง เราเชื่ออะไรบางอย่างเพราะรู้สึกอะไรบางอย่าง เรารู้สึกอะไรบางอย่างเพราะคิดอะไรบางอย่าง เราคิดอะไรบางอย่างเพราะได้ข้อมูลอะไรบางอย่าง
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเร็วมากในตัวเรา จนหลายครั้งเกิดความสับสนวุ่นวายในตัวเอง การช้าลงแล้วค่อยๆสังเกตการกระทำและความคิดจะทำให้เราเห็นปัญหาชัดขึ้น
2.ยอมรับ : หลายครั้งที่ความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยอัตโนมัติเป็นความคิดที่เราไม่ชอบ หรือบอกตัวเองว่าไม่ควรคิด
ยิ่งไม่อยาก กลับยิ่งคิด ความไม่อยากจึงไม่มีประโยชน์ แต่การยอมรับความคิดที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีร้ายแค่ไหนกลับจะทำให้เราจัดการความคิดนั้นง่ายขึ้น
3.พิจารณา : เมื่อเราไม่เสียพลังงานกับการต่อต้านความคิดตัวเอง เราจะมีพื้นที่ในการพิจารณาได้ว่า
สิ่งที่คิดเป็นความคิดประเภทไหน ความคิดมีสองประเภท ประเภทที่หนึ่งความคิดที่ควรคิด ข้อสังเกตคือ คิดแล้วเราสามารถลงมือทำได้ และเมื่อทำสำเร็จจะมีประโยชน์กับชีวิต เช่น จะพัฒนางานอย่างไร จะเลี้ยงลูกอย่างไร เป็นต้น ความคิดประเภทนี้ควรใส่ใจ
ประเภทที่สองความคิดที่ไม่ควรคิด ข้อสังเกตคือ คิดไปเราก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นเรื่องที่เหนือบทบาทและการควบคุมของเรา เช่น คิดว่ากลัวลูกตาย คิดว่าตัวเองจะล้มละลาย ทั้งที่ยังไม่มีปัจจัยอะไร ความคิดประเภทนี้ไม่ควรใส่ใจ แค่รับรู้ว่าคิดแล้วกลับมาทำในสิ่งที่ควรทำในปัจจุบัน
4.ทำความเข้าใจ : หากเราพิจารณาแล้วว่า ความคิดนี้ไม่ควรคิด รับรู้และเบี่ยงเบนความสนใจให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันแล้วแต่ยังไม่ค่อยได้ผล ยังมีแรงผลักดันบางอย่างที่ทำให้ความคิดนี้กลับมาใหม่เรื่อยๆ ให้เราลองค่อยๆทำความเข้าใจความหมายของความคิดนั้น
เช่น ในกรณีตัวอย่างด้านบน กังวลกับธุรกิจและครอบครัวว่าจะสูญเสียสิ่งนี้ไป เพราะเคยสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตจึงกลัวที่ชีวิตจะกลับไปเป็นเช่นเดิม เรามักจำสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดแต่เรามักลืมว่าเราเก่งแค่ไหนที่ผ่านมันมาได้
5.สร้างทางเลือกใหม่ : เมื่อรู้ว่าตอนนี้กำลังประสบปัญหาทางด้านความคิด การวนคิดอยู่กับตัวเองอาจทำให้ยิ่งฟุ้งซ่าน การเปลี่ยนความคิดเป็นการกระทำและการสื่อสาร เช่น เขียนออกมา หรือการพูดคุยกับคนที่คิดว่าช่วยเตือนสติเราได้ อาจทำให้มองเห็นทางออกของความคิดมากขึ้น หรือการไปพบจิตแพทย์ก็อาจจะทำให้เราพบทางเลือกใหม่ได้โดยที่ยังไม่ต้องป่วย
*ความคิดเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้แต่เราดูแลความคิดได้ พูดง่ายทำยากแต่ทำได้ เพราะการดูแลความคิดเป็นทักษะที่เราฝึกฝนได้ *
ครั้งหน้าจะมาเล่าให้ฟังนะคะว่า แล้วความคิดที่ผิดปกติและควรรีบเข้ารับการรักษานั้นมันเป็นอย่างไร
เก็บบรรยากาศ You Are Not Alone มาฝาก
เรียนรู้การเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง
www.earnpiyada.com
----------------------------------------------------------------------------
Page FB หมอเอิ้นพิยะดา Unlocking Happiness
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10156783544953550&id=306538978549
----------------------------------------------------------------------------
Yong จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้การทำจิตให้ปกติมันต้องอาศัยสติทำความรู้สึกตัวอันนี้เป็นกุศลจิตอย่าลืมตัวนั่นเองรักษากายวาจาให้ปกติด้วยศีลอันนี้ก็ต้องใช้สติระลึกถึงศีลดูว่าศีลของเราขาดทะลุหรือเปล่าผู้ที่อยู่ในศีลใจย่อมสงบได้ง่ายเพราะศีลเป็นเหตุไกลสมความว่างแห่งจิตสมาธิเป็นเหตุใกล้สู่ความสงบเมื่อจิตสงบย่อมมีปัญญาพิจารณาเพื่อเหตุแห่งทุกข์เรียกว่าอะไรควรหรือธัมมวิจยะซึ่งเกิดต่อจากสติสัมโพชฌงค์ปลุกความเพียรในการทำความดีมีเมตตาจะทำให้เกิดความสุขที่เกิดจากการเสียสละขจัดความเห็นแก่ตัวอันมืดบอดด้วยอวิชชา
06 พ.ย. 2562 เวลา 12.02 น.
สุดยอดยาพิษ คือความคิดที่ขาดการควบคุม
31 ต.ค. 2562 เวลา 19.16 น.
piak การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องช่วยคุณได้ค่ะ
17 ก.ย 2562 เวลา 14.56 น.
sunny แค่ตื่นออกบ้าง ไม่แช่ ออกไปเดิน เดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องอะไรกับมันมาก
04 ก.ย 2562 เวลา 05.37 น.
i CAT!nothing's true ความคิด ก็ไม่ใช่ความคิด อะไรก็ไม่ใช่อะไร แค่ปรากฎชั่วคราว...
25 ส.ค. 2562 เวลา 05.45 น.
ดูทั้งหมด