๑. พยากรณ์ได้ว่าการเมืองใหม่จะมาถึงในไม่ช้า เพราะ หนึ่ง ประชาชนเอือมระอากับการเมืองเก่าๆ เต็มที สอง วิกฤตโควิดแสดงให้เห็นว่าการเมืองเก่าๆ ที่ไม่มีคุณภาพไม่สามารถนำประเทศพ้นวิกฤตได้
๒. คงจะมีการยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อหาทางออกจากสภาวะเก่าอันไม่โสภา การเมืองใหม่เริ่มจากกระบวนการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่ได้จากมติเป็นเอกฉันท์ของสภาผู้แทนราษฎร
๓. ตรงนี้ที่เป็นการเมืองใหม่เพราะใช้วิถีทางสายกลาง ทางสายกลางเป็นทางแห่งความเป็นเหตุเป็นผลล้วนๆ หรือทางสายปัญญา ไม่มีการแบ่งข้างแบ่งขั้ว เราไปเอาอย่างฝรั่งเสียนาน ฝรั่งคิดแบบตายตัวจึงแยกส่วน นำไปสู่การแบ่งข้างแบ่งขั้ว ขัดแย้ง และรุนแรง ประวัติศาสตร์ของยุโรปจึงเต็มไปด้วยสงคราม การเมืองแบบแบ่งข้างแบ่งขั้วสุดๆ (polarized) ก็เห็นได้ในการเมืองของสหรัฐอเมริกาซึ่งพิกลพิการแล้ว วุฒิสภาโหวดสนับสนุนทรัมป์เพราะเป็นพวกเดียวกัน เป็นการโหวดโดยความเป็นพรรคหรือพวกมากลากไป ไม่ใช่แต่ละคนมีอิสระที่จะใช้ความเป็นเหตุเป็นผล และวิจารณญาณของตนเอง
๔. บุคคลถ้าตกอยู่ในสภาพการณ์ถูกอำนาจบีบบังคับ จะใช้สมองส่วนหลังซึ่งเป็นสมองสัตว์เลื้อยคลาน ทำหน้าที่เพื่อความอยู่รอด หนีภัย หลอกลวง แต่ถ้าบุคคลมีอิสระที่จะใช้วิจารณญาณของตนเองจะใช้สมองส่วนหน้า (Prefrontal cortex) ซึ่งอยู่หลังหน้าผาก ทำหน้าที่เกี่ยวกับสติปัญญา วิจารณญาณ ศีลธรรม การก้าวข้ามตัวตน
รัฐสภาต้องเป็นสภาที่ใช้สมองส่วนหน้า ไม่ใช่สมองส่วนหลัง จึงจะเป็นการเมืองใหม่
๕. ถ้าสส.แต่ละท่านใช้วิจารณญาณของตนเอง จะใช้สมองส่วนหน้าและตัดสินใจในเรื่องดีๆ ได้ แต่ถ้าต้องทำตามมติของพรรคหรือของกลุ่ม ก็ไม่ต้องใช้สติปัญญาอะไร เพียงแต่ถูกต้อนไปโดยนายทุนพรรคหรือนายทุนกลุ่ม เพื่อต่อรองเอาอำนาจทางการเมือง การเมืองเก่าเป็นอย่างนี้ จึงไม่มีคุณภาพเรื่อยมา เป็นปัจจัยให้ประเทศวิกฤต
๖. ฉะนั้น การเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จึงควรให้ส.ส.แต่ละท่านใช้วิจารณญาณของตนเอง โหวตหลายรอบจนกระทั่งได้มติเป็นเอกฉันท์ แบบที่สภาพระคาร์ดินัลโหวตเลือกพระสันตะปาปาในวิหารซิสทีน ณ กรุงวาติกัน บางครั้งใช้เวลาหลายวันกว่าจะได้ฉันทามติ ประชาธิปไตยไม่ได้มีแต่ประชาธิปไตยเสียงข้างมากเท่านั้น แต่มีประชาธิปไตยที่เป็นเอกฉันท์ด้วย
เมื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เป็นที่ยอมรับของส.ส.ทั้งสภาฯ การเมืองก็หมดความเป็นข้างเป็นขั้ว แต่ดำเนินไปด้วยความเป็นเหตุเป็นผลและวิจารณญาณ นายกรัฐมนตรีมีอิสระที่จะแสวงหาคนที่มีคุณภาพดีที่สุดมาช่วยกันบริหารบ้านเมือง ไม่ใช่ขึ้นกับโควตาของกลุ่มต่างๆ ในพรรคการเมือง ระบบโควตาของกลุ่มในพรรคการเมืองไม่การันตีได้ว่าจะได้คนดีที่สุดมาบริหารบ้านเมือง
การเมืองใหม่ เคารพสิทธิของประชาชนที่จะได้คนที่ดีที่สุดมาบริหารประเทศ เลิกการยอมรับสิทธิของกลุ่มก๊วนต่างๆ ที่จะได้ตำแหน่งรัฐมนตรี
การเมืองสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนศีลธรรมไม่ใช่แบบนั้น
๗. การเมืองใหม่อีกอย่างหนึ่งคือ การแก้รัฐธรรมนูญ หรือออกพระราชบัญญัติกำหนด ให้มีการประชุมสมัชชาพัฒนานโยบายสาธารณะแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือพัฒนาประชาธิปไตย และบ้านเมืองอย่างก้าวกระโดด ดังที่จะอธิบายต่อไปนี้
๘. การเมืองเป็นเรื่องของการตัดสินใจนโยบายสาธารณะ นโยบายสาธารณะเป็นความเจริญหรือความเสื่อมของประเทศ ขึ้นกับว่าเป็นนโยบายสาธารณะที่ดีหรือไม่ การได้มาซึ่งนโยบายสาธารณะที่ดีเป็นเรื่องยาก เพราะมีบุคคลและคณะบุคคลที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมาก และความอ่อนแอทางวิชาการ
การเมืองใหม่จึงต้องสัมพันธ์อยู่กับกระบวนการนโยบายสาธารณะที่ดี กระบวนการนโยบายสาธารณะที่ดีเป็นกระบวนการทางปัญญาและความดีสูงสุดของประเทศ เป็นประชาธิปไตยที่แท้และประชาธิปไตยอัตถประโยชน์ เป็นที่เรียกว่ากระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม หรือ P4 (Partipatory Public Policy Process) ที่ทุกภาคส่วนในสังคมมีส่วนร่วม
๙. องค์ประชุมของสมัชชาพัฒนานโยบายสาธารณะแห่งชาติ ประกอบด้วย
(๑) สมาชิกรัฐสภา
(๒) คณะรัฐมนตรี
(๓) ตัวแทนองค์กรชุมชนท้องถิ่น
(๔) ตัวแทนภาคส่วนต่างๆ ของสังคม ซึ่งรวมทั้งภาคธุรกิจและสื่อมวลชน
(๕) ข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนโยบายในวาระการประชุม
(๖) นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องนโยบายสาธารณะ
(๗) ผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ
นโยบายที่ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้รัฐสภาและครม.รับไปปฏิบัติ มีกลไกติดตามสนับสนุนการปฏิบัติ และประเมินผลการปฏิบัติตามนโยบาย การพัฒนานโยบายสาธารณะที่ครบวงจร ตั้งแต่การสังเคราะห์นโยบายสาธารณะ ผ่านการตัดสินใจโดยสมัชชาซึ่งเป็นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของสังคม การที่ฝ่ายการเมืองรับไปปฏิบัติ มีการติดตามช่วยเหลือผู้ปฏิบัติให้ปฏิบัติได้ และมีการประเมินผลการปฏิบัติตามนโยบาย เพื่อเป็นข้อมูลป้อนกลับมาพัฒนานโยบายให้ดียิ่งขึ้น
เป็นกระบวนการประชาธิปไตย ที่ใช้สติปัญญาสูงสุด เพื่อประโยชน์สูงสุดของสาธารณะ นี้เป็นการเมืองใหม่
๑๐. ท่านสามารถอ่านรายละเอียดในบทความต่างหากโดยผู้เขียน ชื่อ “สมัชชานโยบายสาธารณะแห่งชาติ : เครื่องมือพัฒนาประชาธิปไตยและประเทศชาติอย่างก้าวกระโดด”
โดยสรุป ถ้านักการเมืองถึงทางตัน หันมาใช้วิถีทางสายกลางทางการเมือง สร้างการเมืองใหม่ โดย หนึ่ง เลือกนายกรัฐมนตรีด้วยมติเป็นเอกฉันท์ของสภาผู้แทนราษฎร สอง ออกกฎหมายสร้างระบบสมัชชาพัฒนานโยบายสาธารณะแห่งชาติ อันเป็นเครื่องมือพัฒนาประชาธิปไตย และประเทศชาติอย่างก้าวกระโดด
Add Somchai เอากับผผมไหมถ้าไม่แก้รัฐธรรมนูญเลือกยังไงก็ได้นายตูบเพราะใครตั้งสว ไม่ได้ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองเลยเอาไหมลองไม่มี สวซักสามปีประเทศ... จมีรายได้คืนเท่าไร
02 ก.ค. 2563 เวลา 10.33 น.
SUVONGS คงไม่ได้เกิดในประเทศไทย คงเกิดในประเทศใดประเทศหนึ่งในละครหลังข่าวภาคค่ำ
02 ก.ค. 2563 เวลา 10.25 น.
K.T.Payotorn ถ้าส.ส.ไทยยังด้อยคุณภาพอยู่แบบนี้ เลือกตั้งกี่ครั้งกี่หน ก็คงได้แต่นักการเมืองแสวงตำแหน่งมุ่งประโยชน์เฉาะตน ไม่ใช่มุ่งทำงานเพื่อปชช.อย่างที่หาเสียงไว้ เห็นกันจะๆ ว่าความสามารถไม่ถึงแต่อยากได้ตำแหน่งสำคัญทางเศรษฐกิจ ปชช.เขาก็มองออก
02 ก.ค. 2563 เวลา 09.50 น.
charanyodsilp ถ้าประเทศไทยแก้..รธน..ไม่ให้
...ใอ้เสื้อเขียว...มายึดอำนาจแค่นี้ก็จบ...เพราะมันยึดทีไรพ่อแม่บ้านมันร่ำรวยกันทั้งโครต
ดูใอ้เสื้อคับยึดอำนาจสิ....เมียน้อย...เมียหลวง...แย่งเงินกัน
4000ล้านยังไม่จบเลย...อย่าไปโทษนักการเมืองเลวเลย...ใอ้เสื้อ
เขียวนี่ล่ะโครตเลวกว่านักการเมืองอีก
02 ก.ค. 2563 เวลา 09.43 น.
anupab อย่ามโนนั่งทางในอีกเลย แก่เกินแกงที่จะคิดอีกแล้ว กฎแห่งกรรม
02 ก.ค. 2563 เวลา 09.37 น.
ดูทั้งหมด