เมืองไทย 360 องศา
หลังจากเริ่มมีการเคลื่อนไหวกันแบบเป็นการเป็นงานของพวก ส.ส.กลุ่มหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นกลุ่มและพรรคการเมืองที่ไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาก่อน และพ่ายแพ้จากการลงประชามติเมื่อคราวก่อนนั่นแหละ เหตุผลหรือข้ออ้างสำคัญของพวกเขาก็คือบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เอื้อประโยชน์ต่อการ “สืบทอดอำนาจ” ของพวกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) หรือหากจะพูดให้ตรงตัวก็พุ่งเป้ามาที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเครือข่ายนั่นแหละ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมา “บิ๊กตู่” สามารถ “อยู่เป็น” หรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่อย่างน้อยก็ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับที่กันอยู่ในปัจจุบันนี้ผ่านการลงประชามติเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ที่ผ่านมาไปด้วยเสียงท่วมท้นมากว่า 16.8 ล้านเสียง ส่วนพวกไม่เอามีแค่ 10.5 ล้านเสียง หรือ ร้อยละ 61.35 ต่อ 38.65
อย่างไรก็ดีหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมเป็นต้นมา ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกันอีกรอบ ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพราะมีบางพรรคที่ตั้งธงเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า “ต้องแก้” แม้ว่าเป้าหมายจะแตกต่างกันไป เพราะบางพรรค เช่น พรรคอนาคตใหม่ที่ตอนเริ่มแรกบรรดา “ชนชั้นนำ” ของพรรค ต่างมีเป้าหมายให้ แก้ทั้งฉบับหรือ “ร่างใหม่ทุกมาตรา” กันเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าในระยะหลังเมื่อเริ่มถูกต่อต้านขัดขวาง โดยเฉพาะการแก้ไขที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเขาก็เงียบเสียงไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าต้องการแก้ไขแบบใดกันแน่
ขณะที่พรรคฝ่ายค้านหลักอย่างพรรคเพื่อไทย แม้ว่าต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญหลายมาตรา แต่พวกเขาก็ยืนยันว่าไม่แตะต้องหมวดพระมหากษัตริย์ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่าก่อนหน้านี้ก็เคยไม่รับร่างรัฐธรรมนูญมาก่อน และรณรงค์ในช่วงการลงประชามติ ยังคงยืนยันหลักการเดิมและด้วยสถานการณ์ในรัฐบาลผสมที่มีเสียงปริ่มน้ำก็สามารถกดดันให้มีการบรรจุเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ในนโยบายรัฐบาลได้
กลายเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองหลักในรัฐบาลที่กระตือรือล้นในการเคลื่อนไหวผลักดันแก้ไข แต่หากหมายเหตุเอาไว้เป็นที่สังเกตเอาไว้ก็คือจะเป็นความเคลื่อนไหวในพรรคที่เป็นซีกของฝ่ายขั้วอำนาจเก่า นั่นคือใน ส.ส.ในซีกของฝ่ายที่เคยสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคมาก่อน และยังสามารถผลักดันให้พรรคเสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ มาเป็นประธานวิสามัญศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯของสภาผู้แทนราษฎรอีกด้วย โดยอ้างความเหมาะสมในเรื่องความสามารถ และเคยเป็นอดีตนายกฯมาก่อน เป็นต้น
อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาจากท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลแล้วมองรวมๆแล้วยัง “เฉยๆ” ไม่มีอารมณ์ร่วมเท่าใดนัก ทั้งในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงเวลานี้ รวมไปถึงการสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่จับทางได้เลยว่าไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าไม่อยากให้เกิดการกระเพื่อมภายในรัฐบาลมากนัก แต่ถึงอย่างไรบางพรรคอย่างพรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคแกนนำที่ถือว่าแสดงออกชัดเจนที่สุดว่าหากมีการแก้ไขก็ต้องให้คนของพรรคเป็นประธานคณะกรรมาธิการฯเท่านั้น โดยอ้างเหตุผลเรื่องพรรคแกนนำ พร้อมทั้งเสนอชื่อ นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนฯ หรือไม่ก็เป็นคนนอก
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ที่แม้ว่าล่าสุดแล้วก็เริ่มไม่มั่นใจว่าจะผลักดันให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธานศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากทางพรรคฝ่ายค้านสำคัญอย่างพรรคเพื่อไทยก็เสนอชื่อ นายโภคิน พลกุล เป็นประธานเหมือนกัน ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากท่าทีของเจ้าตัวเองก็ไม่ได้เสนอตัวเองเข้ามา เพียงแต่ว่าเมื่อถูก “ลูกน้องเก่า” ในพรรคเสนอชื่อขึ้นมาก็ยังสงวนท่าทีไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด ความหมายก็คือเพื่อป้องกัน “เสียฟอร์ม” ไว้ล่วงหน้า ว่ากันแบบนั้นก็ได้
อย่างไรก็ดีแม้ว่าในความเป็นจริงถือว่าเส้นทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังอีกยาวไกล และที่สำคัญมันเป็นงานยาก ประกอบกับด้วยอารมณ์ของสังคมในวันนี้ยังต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากจนแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะนี่เป็นเพียงการเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางฯเท่านั้น ว่าจะแก้แบบไหน แก้กี่มาตรา และยังไม่รู้ว่าสัปดาห์หน้าจะได้มีการประชุมในเรื่องนี้ในสภาผู้แทนฯหรือเปล่า
แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกของ ชาวบ้านหรือสังคมส่วนใหญ่ผ่านทางผลสำรวจที่ออกมาทั้งก่อนหน้านี้ จนถึงล่าสุดก็ยังถือว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย นั่นคือความหมายตรงๆก็คือ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน” เพราะเรื่องเร่งด่วนที่สุดที่ชาวบ้านทั่วประเทศต้องการให้มาก่อนก็คือ “เรื่องแก้ปัญหาปากท้อง” หรือให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อน ส่วนเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไว้ทีหลัง
แต่ผลสำรวจล่าสุดที่ถือว่าเป็นการ “ตบจนหน้าหัน” ก็คือผลสำรวจของ “ซูเปอร์โพล” ที่ตอบคำถามว่าให้ “ควรแก้นิสัย ส.ส.ก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ซึ่งสะท้อนว่าภาพลักษณ์ของ ส.ส.ในสายตาชาวบ้านแย่ และที่น่าสนใจก็คือเป็นผลสำรวจชาวบ้านใน “โลกโซเชียล”เสียด้วย
ดังนั้นหากพิจารณากันในนาทีนี้แม้ความหมายจะมองเห็นว่าชาวบ้านไม่ได้ปฏิเสธการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่พวกเขาเห็นว่าไม่ใช่เรื่องด่วนหรือคอขาดบาดตาย นั่นคือ “เอาไว้ก่อน” เรื่องด่วนคือเรื่องปากท้องมากว่า และส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรัฐธรรมนูญเพิ่งใช้มาไม่นาน รอให้ตกผลึกมากกว่านี้ก่อน ค่อยมาว่ากัน ที่สำคัญมองว่าเป็นเรื่อง “อยากได้ใคร่ดี” ของพวก ส.ส.และนักการเมืองที่แย่งชิงอำนาจกันเท่านั้น ชาวบ้านไม่ได้เกี่ยวข้องหรือได้ประโยชน์โดยตรงนัก !!
S_Utalun ใช่ แก้นิสัย สส ก่อนเถอะ
19 พ.ย. 2562 เวลา 00.24 น.
รัฐธรรมนูญที่ผ่่านมาก็มาจากเสียงประชาชนส่วนมาก..แล้วใครกันแน่ที่ไม่เห็นหัวประชาชนแล้วใครกันแน่ที่คิดแต่เข้าข้างพรรคพวกตัวเอง
#ถ้ามีสมองคงคิดเป็น
19 พ.ย. 2562 เวลา 00.14 น.
คนคอน ๕๕๕ ต้องแก้ที่สันดาน นกม.เลยครับ ถาม ปชช.16.8ล้านเสียงสักคำยังครับ เห็นตอนจะใช้รัฐธรรมนูญถามได้
18 พ.ย. 2562 เวลา 23.29 น.
ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ใช้ไปก่อนดูว่าจะต่างจาก รธน.ฉบับก่อนๆอย่างไร ..สาละวนกับ รธน.ทำไม..มีเรื่องต้องทำอีกมากมาย ช่วยกันเสนอแนวทางมา เช่น ที่ดิน ป่าไม้ ระบบน้ำ เป็นต้น
หมกเม็ดไม่จริงจังทุกสมัย..คสช.ก็ไม่ทำจนเสียของเสียเวลา...
18 พ.ย. 2562 เวลา 23.24 น.
Banana ตู่ แค้นพี่มาร์ค น่าดู สั่งลูกน้องขวางทุกช่องทางเลยนะ
18 พ.ย. 2562 เวลา 23.15 น.
ดูทั้งหมด