มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา องค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของ รศ.อานนท์ มาเม้า อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไว้พิจารณา หลังจากที่ได้ยื่นฟ้องประธานศาลรัฐธรรมนูญและคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อศาลปกครองกลาง ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่รัฐออกกฎหมายโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยระบุว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562 ออกข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ในข้อที่ 10 และ 11 เป็นกรณีการออกกฎโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับรายละเอียดข้อกำหนดในข้อที่ 10 กำหนดว่า ห้ามมิให้ผู้ใดบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายตามคำสั่ง หรือคำวินิจฉัยของศาล หรือวิจารณ์คำสั่ง หรือคำวินิจฉัยของศาลโดยไม่สุจริต หรือใช้ถ้อยคำ หรือมีความหมายหยาบคาย เสียดสี ปลุกปั่น ยุยง หรืออาฆาตมาดร้าย และข้อ 11 กำหนดว่า ผู้ใดฝ่าฝืนข้อกำหนด หรือคำสั่งศาลตามข้อ 8 ข้อ 9 และ ข้อ 11 ให้ถือว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 39
รศ.อานนท์ ระบุในคำฟ้องว่า ข้อกำหนดดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการรักษาความสงบเรียบร้อยในการพิจารณาคดี แต่ออกมาบังคับกับการกระทำของบุคคลซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดี หรือที่ยังไม่ปรากฏเป็นคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณา หรือเป็นคดีซึ่งมีการพิจารณาจบแล้ว จึงไม่เป็นเรื่องของการควบคุมความสงบเรียบร้อยในขณะที่ศาลกำลังดำเนินการและมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่
รศ.อานนท์ ยังระบุอีกว่า ข้อกำหนดจะออกมาใช้บังคับได้ก็เฉพาะแต่การรักษาความสงบเรียบร้อยในการพิจารณาคดีเท่านั้น เพราะเป็นวัตถุประสงค์ที่เป็นรากฐานของการมีกลไกเรื่องความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล แต่ก็ใช่ว่าระบบกฎหมายมีช่องว่างในการเอาผิดผู้ใช้ถ้อยคำหยาบคายวิพากษ์วิจารณ์ศาล เนื่องจากที่สุดแล้วกลไกเกี่ยวกับความผิดฐานดูหมิ่นศาลตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 198 จะสามารถนำมาใช้บังคับได้ เพราะถือว่าเป็นการดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีหรือพิพากษาคดี
ขณะที่การออกข้อกำหนดดังกล่าวเพื่อสร้างฐานความผิดเกี่ยวกับละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นกรณีขัดต่อหลักการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่ต้องเป็นไปเฉพาะเท่าที่มีกฎหมายบัญญัติอย่างชัดแจ้งและจำต้องใช้และตีความอย่างเคร่งครัดด้วย การออกกฎดังกล่าวจึงอยู่นอกเหนือหลักเกณฑ์การออกข้อกำหนดตามมาตรา 38 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
จึงขอให้ศาลเพิกถอนข้อกำหนด และมีคำสั่งทุเลาการบังคับใช้ข้อกำหนดดังกล่าว พร้อมขอให้พิจารณาคดีโดยเร็ว
ต่อมาศาลได้ตรวจพิจารณาคำฟ้อง รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา โดยระบุว่าแม้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นบุคคลซึ่งมีกฎหมายให้อำนาจในการออกกฎ แต่ก็เป็นการกระทำในฐานะที่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่อยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐตามบทนิยามเจ้าหน้าที่รัฐ ในมาตรา 3 พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แม้ข้อกำหนดจะมีสภาพบังคับอย่างกฎ แต่ก็ถือว่าเป็นการกระทำขององค์กรฝ่ายตุลาการ ไม่ใช่การใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือการดำเนินกิจการทางปกครองขององค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง เป็นการกระทำประเภทหนึ่งขององค์กรฝ่ายตุลาการเพื่อให้การดำเนินการของศาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม รศ.อานนท์ เปิดเผยกับ THE STANDARD ว่า จะใช้สิทธิตามกฎหมายในการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- เอกสารศาลรัฐธรรมนูญ
Rong ไม่ช่วยพวกกันแล้วจะไปช่วยแมวที่ไหน จริงไหมท่าน พระภูมิเจ้าที่
21 ต.ค. 2562 เวลา 05.43 น.
wiwat เลิกสอน เถอะจารย์ ไปขายขนมครก
เป็นอาจารย์ทั้งที
ยังแยกไม่ออกว่าศาลปกครองท่านมีอำนาจในเรื่องนี้หรือไม่
ไปอ่านรัฐธรรมนูญให้เข้าใจเรื่อง
องค์กรอิสระ เจ้าหน้าที่รัฐ นะครับว่าแตกต่างกันอย่างไร
แถมด้วย พรบ.จัดต้้งศาลปกครอง และวิธีการพิจารณาคดีปกครองด้วยนะครับ
21 ต.ค. 2562 เวลา 04.54 น.
X+2X-Y=10....Y=? ก็น่ารับฟัง มั้งอานนท์ และศาลปกึีอง ดูเหตุผลกันต่อไป ส่วนพวกที่มาแซะ มาแขวะเนี่ย....อย่าไปวอกแวก มันก็แค่พวกมีทอสับ แต่ไม่รู้จักคิด
21 ต.ค. 2562 เวลา 04.41 น.
Big ไม่มีใครใหญ่กว่าศาล 555555 ประเทศที่ให้คุมศาลได้ ก็ชนะทุกอย่าง......
21 ต.ค. 2562 เวลา 04.33 น.
รังสรรค์ ถิ่นกาขาว
21 ต.ค. 2562 เวลา 04.15 น.
ดูทั้งหมด