“คนโคราช” เป็นคำที่เรียกผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ “นครราชสีมา” (โคราช) ซึ่งเป็นบ้านเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้เขียนถึงเรื่อง “คนโคราช” และพัฒนาการของ “นครราชสีมา” ไว้ดังนี้
ย่อหน้า เว้นวรรค และเน้นคำ โดย กอง บก. ออนไลน์
นครราชสีมาหรือโคราช อยู่ต้นลําน้ำมูลในอีสาน เป็นบ้านเมืองที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เริ่มด้วยมีชุมชนหมู่บ้านเก่าแก่อยู่ที่บ้านปราสาท (ตําบลธารปราสาท อําเภอโนนสูง) และบ้านโนนวัด (ตําบลพลสงคราม อําเภอโนนสูง) กับมีแหล่งภาพเขียนสียุคดึกดําบรรพ์อยู่ที่ถ้ำเขาจันทน์งาม (บ้านเลิศสวัสดิ์ ตําบลลาดบัวขาว อําเภอสีคิ้ว)
ทั้งสองแห่งมีอายุประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว ล้วนเป็นหลักฐานมั่นคงว่า ชุมชนเหล่านี้มีพัฒนาการตั้งแต่ 3,000 ปีแล้ว แล้วสืบเนื่องถึงปัจจุบันไม่ขาดสาย (ดังมี “รายงานการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านโนนวัด ตําบลพลสงคราม อําเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา” ของรัชนี ทศรัตน์ สํานักศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา สํานักโบราณคดี กรมศิลปากร)
หลังจากนั้น ก็มีพัฒนาการเป็นบ้านเมือง แล้วรับอารยธรรมจากต่างประเทศผ่านขึ้นมาทางภาคกลางบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ราวหลัง พ.ศ. 1200 บ้านเมืองแถบนี้รับพระพุทธศาสนาผ่าน “รัฐทวารวดี” ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เข้ามาเป็นศาสนาประจำถิ่นมี 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มนับถือคติหีนยาน มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเสมา (เขตอำเภอสูงเนิน) และกลุ่มนับถือคติมหายาน มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพิมาย (เขตอําเภอพิมาย)
หลัง พ.ศ. 1500 อิทธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมขอมจากเมืองพระนคร ซึ่งนับถือศาสนาฮินดู ได้แผ่ขยายเข้ามาครอบครองบริเวณลุ่มแม่น้ำมูลอย่างเต็มที่ แต่ท้องถิ่นเมืองพิมายก็ยังคงยกย่องนับถือคติมหายานอย่างต่อเนื่อง
ระหว่าง พ.ศ. 1550-1600 ก็เริ่มสร้างปราสาทพิมาย มีขนาดใหญ่โตที่สุดในแดนอีสาน
ปราสาทพิมายไม่ใช่ “เทวสถาน” ของฮินดู แต่เป็น“วัดพุทธคติมหายาน” และมีหลักฐานน่าเชื่อว่า ที่นี่เป็นศูนย์กลางของแคว้นมหิธรปุระ ซึ่งเป็นถิ่นกําเนิดราชวงศ์มหิธรปุระ บรรพบุรุษของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้ทรงสร้างปราสาทนครวัดและกษัตริย์ขอมองค์อื่นๆ อีก ตรงนี้หมายความว่า บรรพบุรุษของกษัตริย์เขมรสายหนึ่งมีหลักแหล่งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำมูลนี้เอง
เมืองพิมายลดความสําคัญลงเมื่อหลัง พ.ศ. 1763 (โดยประมาณ) เนื่องมาจากสิ้นรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อาณาจักรขอมเมืองพระนครเสื่อมโทรม คติมหายานก็โรยรา และพระพุทธศาสนาคติเถรวาทจากลังกา (ลังกาวงศ์) เฟื่องฟูขึ้นแทนที่ แต่เมืองพิมายก็มิได้รกร้าง เพียงแต่ไม่คึกคักคับคั่งเหมือนสมัยก่อนๆ
ต่อจากนั้น พวก “สยาม” ก็แผ่อํานาจลงมามีอิทธิพลเหนือบ้านเมืองและแว่นแคว้นบริเวณลุ่มแม่น้ำมูล ไม่มีหลักฐานว่า “สยาม” พวกนี้มาจากไหน? แต่มีร่องรอยหลายอย่างน่าเชื่อว่า มาจากแคว้นโคตรบูร (มีศูนย์กลางอยู่เมืองเวียงจัน)
เมืองนครราชสีมา มีชื่อครั้งแรกในกฎมณเฑียรบาล ชื่อนี้มาจากคําว่า นคร+ราช+สีมา หมายถึงนครที่เป็นชายขอบของราชอาณาจักร (สยาม) แต่ปากชาวบ้านเรียกสั้นๆ ว่า ครราช (อ่านว่า คอน-ราด) แล้วเพี้ยนเป็น โคราช (ที่มาของชื่อเมืองนครราชสีมาไม่เกี่ยวกับตํานานเมืองเสมากับเมืองโฆราคปุระที่ผูกนิทานขึ้นมาภายหลัง)
เอกสารสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา เช่น พระราชพงศาวดารฯ และอื่นๆ ไม่ค่อยมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับอีสาน แต่มีฉบับหนึ่งบันทึกว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เตรียมจะยกทัพไปตีบ้านเมืองแถบลุ่มแม่น้ำมูล เมื่อเจ้าเมืองพิมายกับเจ้าเมืองพนมรุ้งรู้ข่าว ก็ชิงยอมอ่อนน้อมเสียก่อน ก็เป็นอันรู้ว่ากรุงศรีอยุธยามีอํานาจเหนือบ้านเมืองแถบลุ่มแม่น้ำมูลในสมัยนี้เอง
ดังนั้น เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถซึ่งเป็นพระราชโอรสเจ้าสามพระยาได้ครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อมา (พ.ศ. 1991-2031) และโปรดให้ทํากฎมณเฑียรบาล จึงมีรายชื่อเมืองขึ้นตั้งแต่เขตลุ่มแม่น้ำมูลถึงแม่น้ำโขงคือเมืองโคตรบอง (โคตรบูร) และเมืองเรวแกว (เมืองเรอแดวหรือระแว์) อยู่ลุ่มแม่น้ำโขง (ในลาวใต้ทุกวันนี้) ส่วนทางลุ่มแม่น้ำมูลมีเมืองนครราชสีมาอยู่ในฐานะ “เมืองพญามหานคร” ที่ได้ถือน้ำพระพิพัฒน์เทียบเท่าเมืองพิษณุโลก, เมืองสุโขทัย, เมืองศรีสัชนาลัย, เมืองนครศรีธรรมราช ฯลฯ ที่ล้วนเคยเป็นบ้านเมืองแว่นแคว้นใหญ่มาก่อน
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงติดต่อกับชาวตะวันตก แล้วรับความรู้ทางด้านเทคโนโลยีจากชาวตะวันตกเข้ามาสร้างป้อมปราการ และกําแพงเมืองสําคัญๆ ด้วยอิฐและหิน เช่น เมืองพิษณุโลก, เมืองศรีสัชนาลัย, เมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้น ฉะนั้นการที่มีชื่อเมืองนครราชสีมาปรากฏครั้งแรกในกฎมณเฑียรบาลและให้มีฐานะเทียบเท่าเมืองสําคัญๆ ที่มีมาแต่ก่อน ก็น่าจะเชื่อได้ว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดให้สร้างกําแพงเมืองนครราชสีมาขึ้นแล้วแต่ครั้งนั้น แล้วสมเด็จพระนารายณ์ฯ มาซ่อมสร้างเพิ่มเติม
เมืองนครราชสีมานี้ เอกสารของลาลูแบร์ซึ่งเป็นราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ฯ (พ.ศ. 2199-2231) ณ กรุงศรีอยุธยา บอกว่า เป็นเมืองชายแดนที่อยู่ติดพรมแดนลาว แสดงว่าอาณาเขตของลาวสมัยนั้นอยู่ลึกเข้ามาชนแดนเมืองนครราชสีมา ฟังแล้วไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 (หลังเหตุการณ์เจ้าอนุวงศ์) แล้ว นายทิม สุขยางค์ ยังบอกไว้ใน “นิราศหนองคาย” ว่า พ้นเมืองพิมายออกไปถึงลําละแทกก็เป็นเขตเมืองลาว
ก็เสร็จข้ามแม่น้ำลําละแทก เป็นลําแยกจากมูลศูนย์กระแส
สินเขตแดนพิมายเมืองชําเลืองแล เข้าแขวงแควเมืองลาวชาวอารัญ
แสดงว่าพรมแดนเมืองนครราชสีมาจริงๆ แล้ว อยู่ตรงลําละแทกเหนือเมืองพิมายนี่เอง สอดคล้องกับเหตุการณ์เจ้าอนุวงศ์ที่ยกทัพล่วงลงมาถึงแดนเมืองนครราชสีมาอย่างสะดวกโดยไม่มีสิ่งใดขัดขวาง
คนโคราช ไม่ใช่ “ลาว”
ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ. 2310 กองทัพเมืองนครราชสีมาถูกเกณฑ์ให้มารักษากรุง แต่มีเหตุให้ยกหนีกลับเมืองเสียก่อนเลยไม่ได้รบกับพม่า ครั้งนั้น กรมหมื่นเทพพิพิธ ซึ่งเป็นโทษต้องเนรเทศไปอยู่ลังกาก่อนแล้วหนีมาอยู่เมืองจันทบุรี ได้ชักชวนพวกชาวเมืองชายทะเลทางตะวันออกยกเป็นกองทัพมาหวังจะรบพม่าเพื่อแก้ไขกรุงศรีอยุธยา
กรมหมื่นเทพพิพิธมาถึงเมืองปราจีนบุรี ให้กองทัพหน้าตั้งอยู่ปากน้ำโยทกาเมืองนครนายก แต่ถูกพม่ายกไปตีทัพหน้าแตกหมด เมื่อเห็นจะสู้ไม่ได้จึงพากันยกหนีขึ้นไปทางเมืองนครราชสีมา กรมหมื่นเทพพิพิธคิดจะชวนเจ้าเมืองนครราชสีมาให้เกณฑ์กองทัพไปรบพม่า แต่พระยานครราชสีมามีปัญหาจึงถูกลอบฆ่าตาย กรมหมื่นเทพพิพิธเลยเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองนครราชสีมา แล้วถูกพวกเมืองพิมายยกมาล้อมจับไปคุมไว้เมืองพิมาย
ครั้นกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าก็เป็นอันสิ้นพระราชวงศ์ที่จะครองราชอาณาจักร พวกเมืองพิมายจึงยกให้กรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นเป็นใหญ่ เรียก “เจ้าพิมาย” มีอํานาจเหนืออาณาเขตเมืองนครราชสีมาทั้งหมด เป็นที่รู้จักในชื่อ “ก๊กเจ้าพิมาย” แต่ท้ายที่สุดก็ถูกสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบปรามได้ แล้วให้ประหารชีวิต
จากนั้นเมืองนครราชสีมาก็มีความสําคัญขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกรุงธนบุรีขยายอํานาจออกไปถึงสองฟากแม่น้ำโขงชนแดนกัมพูชา แล้วให้เมืองนครราชสีมาปกครองเหล่าหัวเมืองที่ได้มาใหม่
ก่อนเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี เจ้าเมืองนครราชสีมาคือพระยาสุริยภัย เป็น “หลาน” ของเจ้าพระยาจักรี (ต่อมาคือรัชกาลที่ 1) พระยาสุริยอภัยชื่อเดิมว่า “ทองอิน” เป็นบุตรคนโตของสมเด็จพระพี่นางเธอพระองค์ใหญ่ (สา) เป็นกําลังสําคัญในการนําทัพลงไปยึดอํานาจกรุงธนบุรีเพื่อรอท่าเจ้าพระยาจักรี และเพราะความดีความชอบนี้ จึงได้รับสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ได้เป็นกรมพระราชวังหลังในรัชกาลที่ 1
จะเห็นว่ากรมหมื่นเทพพิพิธรวบรวมผู้คนจากหัวเมืองชายทะเลตะวันออก มีจันทบุรี, ระยอง, ชลบุรี, ปราจีนบุรี และนครนายก เป็นกําลังสําคัญให้ขึ้นไป “ตั้งหลัก” อยู่เมืองนครราชสีมาและเมืองพิมาย ครั้นหลังกรุงแตกยังมี “ข้าเก่า” จากกรุงศรีอยุธยาหนีพม่าขึ้นไปตั้งหลักแหล่งเพิ่มเติมอยู่ด้วยอีกมาก
พวกนี้ไม่ใช่ลาวแต่เป็นไทยสยามภาคกลาง เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบ “ก๊กเจ้าพิมาย” แล้ว ก็ไม่ได้กวาดต้อนผู้คนเหล่านี้ลงมากรุงธนบุรี พวกนี้ได้ปักหลักอยู่ที่นั่นแล้ว กลายเป็นบรรพบุรุษกลุ่มใหญ่ของ “คนโคราช” ปัจจุบัน
คนพวกนี้แหละได้ผสมกลมกลืนกับคติท้องถิ่นที่มีมาแต่ดั้งเดิม (ซึ่งน่าสงสัยว่าเป็นแบบกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ นั้นเอง) กลายเป็น คนโคราช แล้วเกิดประเพณีใหม่กลายเป็น “วัฒนธรรมโคราช” เช่น สําเนียงโคราช กระเดียดไปทางสําเนียงชายทะเลตะวันออกแถบระยองและจันทบุรี แม้ผู้คนแถวปราจีนบุรีและนครนายกเมื่อสัก 50 ปีมาแล้วก็พูดสําเนียงเก่าแบบ “ยานคาง” ไม่ต่างจากสําเนียงโคราชนัก
เพลงโคราชก็ฉันทลักษณ์และลีลาเดียวกับเพลงพาดควาย, เพลงฉ่อย (ไม่ใช่ลําตัดที่เพิ่งเกิดสมัยรัชกาลที่ 5) นอกจากนั้นยังมีประเพณีอื่นๆ อีก เช่น กินข้าวจา, เคียวหมาก, ตัดผมเกรียน, นุ่งโจงกระเบน และมีศิลปะสถาปัตยกรรมวัดวาอารามแบบอยุธยาภาคกลาง นี่แหละคนโคราชกันเอ๋ง
อ่านเพิ่มเติม :
- ที่มา “นามสกุล” ชาว “โคราช” หลักฐานสำคัญบ่งชี้ภูมิประเทศถิ่นกำเนิด
- “สุดบรรทัด-เจนจบทิศ” สู่ “ถนนมิตรภาพ” ช่วยย่นเวลาเดินทางกทม.-โคราชจาก 10 เหลือ 3 ชม.
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากหนังสือ “‘พลังลาว’ ชาวอีสาน มาจากไหน” เขียนโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ (สำนักพิมพ์มติชน, 2549)
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 23 มิถุนายน 2562
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : คนโคราช ไม่ใช่ “ลาว” แล้วคนโคราชเป็นใคร? มาจากไหน?
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com
ขอบคุณจ้ะ ที่ให่ความรู่ก้ะคนโคราชอย่างฉัน
23 มิ.ย. 2562 เวลา 05.59 น.
ภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนโคราช และเกิดที่บ้านโนนวัด
24 มิ.ย. 2562 เวลา 01.34 น.
อย่างเดียว ที่รู้ คนโคราชหน้าตาดีทุกคน
23 มิ.ย. 2562 เวลา 15.23 น.
ชวน ทองโพธิ์ ฉันก็คนโคราช
23 มิ.ย. 2562 เวลา 12.41 น.
ดูทั้งหมด