หุ้น การลงทุน

‘ดาวโจนส์’ ปิดตลาดลดลง 132.71 จุด หวั่น ‘สงครามการค้า’ หลังทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25%

The Bangkok Insight
อัพเดต 27 มี.ค. เวลา 01.18 น. • เผยแพร่ 27 มี.ค. เวลา 01.18 น. • The Bangkok Insight

ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ของสหรัฐ ปิดซื้อขายวานนี้ (26 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ "ดาวโจนส์" ลดลง 132.71 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า ที่ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ได้ลงนามในคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ในอัตรา 25%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,454.79 จุด ลดลง 132.71 จุด หรือ -0.31% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 5,712.20 จุด ลดลง 64.45 จุด หรือ -1.12% และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 17,899.02 จุด ลดลง 372.84 จุด หรือ -2.04%

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง
ดาวโจนส์

ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีร่วงลงทันที หลังโฆษกทำเนียบขาว ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะจัดการแถลงข่าว เพื่อประกาศการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ และล่าสุดมีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารแล้ว เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ในอัตรา 25% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน

ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า รถยนต์ที่จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งนี้ คือรถยนต์ทุกคันที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐ ส่วนรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐจะได้รับการยกเว้นภาษี

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของรัฐบาลสหรัฐ ส่งผลให้ตลาดกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าทั่วโลก ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์คาดการณ์ว่า การเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ จะส่งผลให้ราคารถยนต์ปรับตัวสูงขึ้น และเป็นอุปสรรคต่อการผลิต

หุ้นบริษัทผลิตรถยนต์ร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นเทสลา ร่วงลง 5.6% หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ร่วงลง 3.1% ท่ามกลางความวิตกว่า สหรัฐอาจจะถูกบรรดาประเทศคู่ค้าใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจทั่วโลก

นักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์ส ได้ปรับลดเป้าหมาย ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลงสู่ระดับ 5,900 จุด จากระดับ 6,600 จุด โดยระบุว่า มาตรการภาษีศุลกากรมีแนวโน้มที่จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐ ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐ ในวันศุกร์นี้ (28 มี.ค.) โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
X:https://twitter.com/BangkokInsight
Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
Youtube:https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg

ดูข่าวต้นฉบับ