ไอที ธุรกิจ

ตลาดหุ้นอย่าสู้เฟด พลังเงินกดข่าวร้าย

ทันหุ้น
อัพเดต 05 มิ.ย. 2563 เวลา 00.30 น. • เผยแพร่ 05 มิ.ย. 2563 เวลา 00.30 น.

ทันหุ้น-สู้โควิด- ถล่มซื้อหุ้นไทยดัน SET ทะยานเฉียด 40 จุด วอลุ่มทะลัก 1.22 แสนล้าน หุ้นแบงก์แห่ซิลลิ่ง "กูรูฟันด์โฟลว์" ยกคำ "อย่าสู้กับเฟด" ทำนักลงทุนมองข้ามความเลวร้ายทางเศรษฐกิจ ด้านนักวิเคราะห์ประเมินต่างชาติเพิ่งกลับยังมีโอกาสเข้าอีก แต่ต้องระวัง ส่องหุ้นสตอรี่ท่องเที่ยว รับเหมาพอได้ รายใหญ่ผสมโรงแนะเล่นตามเทคนิค บล.บัวหลวงสั่งอัพเป้า AOT แตะ78บาท

หุ้นไทยขึ้นไม่หยุดโดยวานนี้ดัชนีหุ้นไทย (SET) ทะยาน 36.83 จุด ปิดที่ 1411.01 จุด เพิ่มขึ้น 2.68% มูลค่าการซื้อขายแตะ 1.22 แสนล้านบาท สูงสุดรอบปีกว่า นับตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2562 นำโดยหุ้นธนาคารพาณิชย์ที่ทะยานพาดัชนีขึ้นมาถึง 15.27 จุด และมีถึง 2 หุ้นแบงก์ทำซิลลิ่งขนเพดานราคาสูงสุด 2 หุ้น คือ KBANK ปิด 115 บาท เพิ่มขึ้น 15% และ SCB ปิด 87.75 บาท เพิ่มขึ้น 14.71% โดยต่างชาติยังซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 อีก 2,469 ล้านบาท สถาบันซื้อมาก 3,879 ล้านบาท รายย่อยขาย 7,826 ล้านบาท

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน ฟันด์โฟลว์ ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นการมองข้ามความย้ำแย่ของเศรษฐกิจ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้มีการพิมพ์เงินออกมาแบบไม่จำกัด ทำให้มีคำกล่าวที่ว่า Don't Fight the fed หรือ อย่าสู้กับเฟด จึงไม่มีใครกล้าสวนทาง ประกอบกับประเทศอื่นๆ ก็ได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาพร้อมๆ กัน ทำให้เม็ดเงินท่วมอยู่ในขณะนี้ และมีเม็ดเงินไหลกลับมาเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย และไทยด้วย ซึ่งด้วยสถานะของต่างชาติที่มีสัดส่วนไม่สูงมากในไทย เพียง 27% เท่านั้น การไหลเข้าของเม็ดเงินนั้นหากจะกลับมาก็จะสู่หุ้นแบงก์ ประกอบกับหุ้แบงก์ขณะนี้ราคาต่อมูลค่าค่อนข้างถูก

อย่างไรก็ดีหุ้นไทยขณะนี้นับเป็นนิวนอลมอล มูลค่าหุ้นไทยขณะนี้ไม่ถูก เพราะภาคเศรษฐกิจจริงที่ซบเซา ดังนั้นนักลงทุนต้องระวัง และต้องทำความเข้าใจว่า เม็ดเงินที่ไหลเข้าไทยขณะนี้เป็นเม็ดเงินระยะสั้น พร้อมจะออกได้ทุกเมื่อ โดยส่วนตัวเชื่อว่าอาจจะมีการถอยของดัชนีเล็กๆ จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะออกมาแย่มาก ฉะนั้นต้องเลือกให้ดี

@ผ่ากลยุทธ์ช่วงหุ้นสูง

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

นางสาวจิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นไทยที่พุ่งขึ้นมาเป็นเพราะเม็ดเงินยังไหลเข้าเอเชีย เนื่องจากตลาดมีมุมมองเชิงบวกกับการรีโอเพ่น ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจของจีน ดีขึ้น ทำให้มีความหวัง การมาของต่างชาติมักจะซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ดังนั้นเมื่องกลุ่มแบงก์ยังคงต่ำกว่ากลุ่มอื่นมาก จึงทำให้มีการเข้าซื้อแบงก์จนซิลลิง ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก อย่างไรก็ดีด้วยความร้อนแรงที่เกินไป แม้ว่าราคาจะยังต่ำบุ๊ค แต่ก็ควรรอให้ราคาถอยมาก่อน เพราะช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แบงก์ก็เทรดต่ำบุ๊ค(P/BV) อยู่แล้วประมาณ 0.8 เท่า จากดิชรัปชั่น สงครามการค้า เมื่อเจอโควิดลงไป 0.5 เท่า ดังนั้นการขึ้นมาซิลลิ่งหลายๆ ตัวทำให้บุ๊คขึ้นมาในระดับ 0.7 เท่าแล้ว และยังต้องติดตามประเด็นด้านผลประกอบการไตรมาส 2 ที่กำไรจะแย่หนักกว่าเดิม

ทั้งนี้มองว่าเงินฟันด์โฟลว์ยังมีโอกาสไหลเข้ามาต่อเนื่อง เพราะเพิ่งเข้ามา ยังต้องมีแรงโมเมนตั้ม แต่ในเชิงราคาพื้นฐานไม่แนะนำซื้อแล้ว เพราะระดับ 1,400 ต้นๆ พีอีปีหน้าก็สูงถึง 17 เท่า แพงแล้ว

ดังนั้นกลยุทธ์ในการลงทุนช่วงนี้ต้องดูเทคนิค มีจุดคัดลอทที่ชัดเจน ยิ่งสูงยิ่งหวั่นไหว มีความเสี่ยงที่จะพักตัวได้ตลอดเวลา โดยลักษณะหุ้นจะมีการมองกันสั้นลง จะวนกลุ่มไปมา กลุ่มไหนสูงก็จะขาย และเข้ากลุ่มที่ยังไม่สูง โดยจะต้องจับตาโฟลว์ที่ไหลเข้าเอเชียประกอบด้วยว่าจะไหลออกเมื่อใด เพราะโฟลว์ไหลเข้าเอเชียมากกว่าไทย ส่วนหุ้นที่จะซื้อขณะนี้ต้องตามกระแส เช่น กลุ่มท่องเที่ยว หรือ ก่อสร้าง ที่จะมีสตอรี่ออกมาจากภาครัฐ เป็นการแจกคูปอง สายการบินกลับมาบิน การลงทุนของภาครัฐ โดยแนะนำหุ้นขนาดใหญ่ อย่าง CK STEC รวมไปถึง SEAFCO PYLON

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

นายวัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่ เปิดเผยว่า หุ้นไทยขณะนี้นับว่าแปลก เพราะตั้งแต่ลงไปที่ระดับ 969 จุด และดีดได้ ยังไม่มีสัญญาณขาย ทั้งๆ ที่ความจริงจะต้องเห็นการถอยลงมาก่อน แต่ด้วยราคาที่ขึ้นมาสูง นักลงทุนควรจะใช้เทคนิคมาช่วยตรวจสอบ และลงทุนตามเทคนิคอย่างเคร่งครัด

@อัพเป้า AOT

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำในหุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ AOT ระบุว่า หุ้น  AOT ผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในงวด เม.ย.-พ.ค. ซึ่งคาดว่าแทบจะไม่มีรายได้ โดยน่าจะขาดทุนตามที่ตลาดมองไว้แล้ว และยังคาดว่าจะขาดทุนต่อเนื่องในงวด ก.ค.-ก.ย. ก่อนที่จะพลิกเป็นกำไรได้ในงวด ต.ค.-ธ.ค.

สำหรับภาพระยะยาวจากการเป็นธุรกิจที่เป็น Monopoly และมีต้นทุนคงที่ในสัดส่วนที่สูงจะหนุนให้การฟืนตัวของกำไรเป็นไปได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดกำไรจะเติบโต 93% ในงวดปี 2564, โต 54% งวดปี 2565 และ 42% ในปี 2566 กลับมาสู่ระดับปกติ เมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว ได้ปรับคำแนะนำขึ้นจาก ถือ เป็น ซื้อ และปรับราคาเป้าหมายไป ณ สิ้นงวดปี 2564 (สิ้นสุดเดือน ก.ย.) ที่ 78 บาทต่อหุ้น