ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ที่กลายเป็นประเด็นสังคมอย่างรวดเร็ว ทั้งข่าวแก๊งครูข่มขืนลูกศิษย์ ข่าวตำรวจล่วงละเมิดเด็กหญิงในสถานีตำรวจ คนในเครือญาติข่มขืนลูกหลาน ข่าวข่มขืนกลายเป็นข่าวรายวันที่คนไทยอย่างเราต้องอ่านวนไปไม่รู้จักจบ
ทุกครั้งที่มีข่าวข่มขืน ผลกระทบที่มักเกิดตามมาคือความโกรธแค้นและขุ่นเคืองจากสังคม แต่อีกด้านหนึ่งก็มักมีเสียงสะท้อนข้องใจจากฝั่งผู้กระทำผิด ทั้งตัวจำเลยเองและคนรอบกาย อย่างกรณีที่เห็นได้ชัดเจน คือกรณีแก๊งครูที่มีข้อพิพาทจากการที่เพื่อนครูออกมาเคลื่อนไหวผ่านโซเชียลมีเดียในเชิงให้กำลังใจ แม้จะรู้ว่าผู้กระทำมีความผิดก็ตาม เกิดเป็นกระแสวิจารณ์ในแง่ลบถึงความไม่เหมาะสม ทั้งในแง่ของรูปคดี และจรรยาบรรณของความเป็นครู
การเข้าข้างผู้กระทำผิดในฐานะคนกันเองนี้ อธิบายได้ด้วยหลักจิตวิทยาที่เราอยากให้ทุกคนได้อ่าน เชื่อมโยงไปถึงค่านิยม “โทษเหยื่อ” ที่มักเกิดขึ้นควบคู่กันกับทฤษฎี “เพื่อนฉันเป็นคนดี” ที่กล่าวถึงการเลือกข้างอย่างไม่ยุติธรรมต่อผู้ถูกกระทำ ดังที่เห็นอยู่บ่อยครั้งในข่าวล่วงละเมิดทางเพศ
เพราะเพื่อนฉันเป็นคนดี คดีนี้เขาจึงไม่ผิด
บทบาท“เขาเป็นคนดี” ของจำเลยอาจไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ผู้เชี่ยวชาญทั้งในทางกฎหมายและจิตวิทยาบอกว่าหากใช้หลักฐานจากปากคำคนใกล้ชิดมายืนยันความบริสุทธิ์ของผู้ก่อเหตุ น่าจะเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมกับผู้ถูกกระทำเท่าใดนัก
เพราะคนที่บอกว่า “เขาเป็นคนดี”ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเหยื่อเลยสักคน
ขอย้อนพูดถึงคดีล่วงละเมิดทางเพศที่เคยโด่งดังในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2016 คือคดีของบร็อค เทอร์เนอร์ (Brock Turner) นักว่ายน้ำดาวรุ่งจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่ถูกแจ้งความในคดีล่วงละเมิดทางเพศนักศึกษาหญิงในปาร์ตี้ขณะที่เธอกำลังหมดสติ คดีความของบร็อคได้รับความสนใจในแง่ที่เขาถูกจำคุกเพียง 3 เดือนทั้ง ๆ ที่อาชญากรรมระดับนี้ควรรับโทษอย่างต่ำ 6 ปี หลายคนกังขาในระบบความยุติธรรมของสหรัฐฯ ที่เอื้อประโยชน์ต่อคนผิวขาวผู้มีสถานะทางสังคม ทั้งยังก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์รุนแรงหลังจากที่พ่อของบร็อค ยืนยันต่อศาลว่า “ชีวิตของลูกชายได้พังทลายลงจากคดีนี้ และเขาไม่ควรได้รับโทษจากการหลงผิดเพียง 20 นาทีของเขาเลย”
น่าเศร้าที่คุณพ่อถือเอาอนาคตของลูกชายเป็นสำคัญ โดยไม่สนใจไยดีต่อความรู้สึก และสิ่งที่เหยื่อของนายบร็อคต้องเผชิญใน “20 นาที” ที่คุณพ่อพูดถึงสักนิดเดียว
คนดีของใคร?
การที่จำเลยมีสถานะทางสังคม อาจเป็นคนมีตำแหน่ง เป็นคนในเครื่องแบบ หรือในบางครั้ง แค่เป็นเพื่อน เป็นน้อง ก็มากพอที่จะทำให้คนรอบตัวไม่เชื่อในความผิดของเขาแล้ว
ชุดความคิดดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เจฟ ดีออน (Jeff Dion) รองผู้อำนวยการบริหารองค์กรไม่แสวงผลกำไร National Center for Victims of Crime ให้ความเห็นเพิ่มว่าคนเหล่านี้อาจลวงตาผู้อื่นด้วยการทำความดี เข้าวัดทำบุญ เพราะเชื่อว่าหากวันหนึ่งที่พลั้งพลาด “ความดี” เหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นปราการด่านแรกในการปกป้องตัวเขาเอง
และหากความเชื่อเหล่านี้มี “อารมณ์” เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจเป็นความสนิทสนมกัน เคยไปมาหาสู่กัน ไม่เคยมีเรื่องขัดใจกัน หลักฐานใด ๆ ที่มัดตัวจำเลยก็ไม่อาจแข็งแกร่งพอที่จะทำลายกำแพงความคิดที่ว่า “เขาเป็นคนดี” ของคนรอบตัวเหล่านี้ลงได้ ในหลายครั้ง จึงยิ่งตอกย้ำค่านิยมของการ “กล่าวโทษเหยื่อ” ซึ่งเป็นการทำร้ายผู้ถูกกระทำซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
โทษเหยื่อ ง่ายกว่า
ทุกคนที่เคยตกเป็นเหยื่อความรุนแรงหรือเหยื่อข่มขืน ต่างเคยถูกกล่าวโทษด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น “ทำไมแต่งตัวโป๊” “ทำไมไปกับเขา” “ทำไมไม่สู้” “ทำไมต้องออกมาแฉครู” ซึ่ง รอนนี แจนอฟบัลแมน (Ronnie Janoff-Bulman) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซ็ตต์ ให้เหตุผลถึงการ “โทษเหยื่อ” (Victim Blaming) ไว้ว่าต้นเหตุเกิดมาจาก “การมองโลกในแง่ดี” ซึ่งเป็นนิสัยพื้นฐานของมนุษย์เรานี่แหละ
แม้ส่วนหนึ่งของการโทษเหยื่อจะเกิดจากการเพิกเฉย และอุปนิสัยส่วนตัวของคนบางคน แต่มนุษย์ทุกคนมีพื้นฐานการมองโลกในแง่ดี หรือในภาษาคนขี้ประชดก็คือ “โลกสวย” นั่นเอง มนุษย์เราเชื่อว่าโลกเป็นสถานที่ดีงาม ใครทำดีต้องได้ดี ถ้าฉันเป็นคนดี ฉันย่อมได้รับสิ่งดีงามกลับคืน ดังสุภาษิต “หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น” แม้ลึก ๆ ทุกคนจะมีสติรับรู้ว่าบางครั้งคนดี ๆ ก็เจอเรื่องแย่ ๆ ได้ แต่สมองของคนส่วนมากยังคงเชื่อมั่นในความยุติธรรมของโลก ดังนั้นเมื่อมีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับใครสักคน ความเชื่อที่ว่าโลกเป็นสถานที่ดีงามจะถูกสั่นคลอนทันที นั่นทำให้คนบางพวกหาเหตุผลล้านแปดมาสรุปว่าเหยื่อ “ทำตัวเอง” และถ้าฉันไม่ทำตัวแบบเหยื่อ เรื่องเลวร้ายก็จะไม่เกิดขึ้นกับฉัน
หยุด “โลกสวย” แล้วหันมาเคารพในความเป็นมนุษย์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณลักษณะ “โลกสวย” ที่เรามี เป็นทักษะสำคัญที่ช่วยพยุงความเป็นอยู่ของมนุษยชาติมาแต่ไหนแต่ไร จินตนาการดูก็ได้ว่าหากมนุษย์ไม่เชื่อในความดีงามหรือบาปบุญคุณโทษ โลกนี้จะวุ่นวายและโกลาหลขนาดไหน เราต่างอยากอาศัยในโลกที่เต็มไปด้วยความถูกต้องและยุติธรรม ไม่มีใครเสียเปรียบและถูกล่วงเกินในโลกใบนั้น
ดังนั้นหากมีเรื่องราวที่กระตุกศีลธรรมในตัวคุณเกิดขึ้นอีก ขอให้ถามตัวเองก่อนใครว่าหากเราเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง เราจะรู้สึกอย่างไร? ให้คิดถึงผู้ถูกกระทำด้วยความเข้าใจแทนความข้องใจดูบ้าง เพราะคุณเองก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของวงจร “โทษเหยื่อ” และ “เชื่อใจจำเลย” โดยไม่รู้ตัว
--
อ้างอิง
- bbc.com
cob ในกรณีครูควรมีความยับยั้งชั่งใจทั้งในความเป็นคนและเป็นครู ถ้าเราตอบสนองในสิ่งเร้าทุกอย่างโดยไม่มีความยั้งคิดก็ไม่ต่างกับเดรัจฉานแล้วครับ
14 พ.ค. 2563 เวลา 00.55 น.
Kuma-San จริงแท้ที่สุด สื่ออกข่าวฝั่งคนรู้จักลำเลย คนรู้จักจำเลยก็ชมจพเลยใหญ่ มันก็แน่นอนล่ะครับ ที่เขาอาจจะเป็นคนดีในสายตาคนอื่น แต่สิ่งที่เขาทำลงไป ผิดมันก็คือผิด และผิดแบบตั้งใจ ไม่ควรยกความดีที่ผ่านขึ้นมาพูด เพราะมันคนละเรื่องกัน ตอนนี้หลายๆคนเริ่มโทษผู้เสียหายแล้วจริงๆ
14 พ.ค. 2563 เวลา 00.44 น.
ร่มเย็น2265 ครูพวกนี้มีพ่อมีแม่ หรือป่าว มีความเป็นคนอยู่หรือป่าวแยกผิดชอบชั่วดีไม่ได้ ไม่สมควรเป็นครู ศิษย์จะเลว ก็ควรอบรมสั่งสอน ไม่ใช่หาข้ออ้างให้ตัวเองพ้นผิด ถ้าพวกครูมีลูกแล้วลูกครูพวกนี้ถูกกระทำ มันจะเป็นอย่างไร ไม่มีหิริโอตตัปปะเลยในกมลสันดานเลย ไม่ต่างกันสัตว์เดรัจฉาน
14 พ.ค. 2563 เวลา 01.13 น.
iPONG✌️CL10 ขอบคุณบทความนี้ เชื่อว่าคงเข้าถึงกลุ่มคนที่สนิทชิดเชื้อกับครูทุกคน ที่กำลังโดนความดีที่จำเลยเคยทำมาบังตา
14 พ.ค. 2563 เวลา 01.29 น.
เคยอ่านไหม คำพิพากษา หนังสือดีๆ
14 พ.ค. 2563 เวลา 01.17 น.
ดูทั้งหมด