จากกรณี “ตู้ปันสุข”ตู้ที่ใส่อาหารและของใช้จำเป็นเพื่อแบ่งปันให้กับคนซึ่งลำบากเพราะการระบาดของไวรัสในช่วงนี้ที่กำลังเป็นข่าวในไทย ซึ่งก็มีทั้งด้านดีในการได้แบ่งปันสิ่งต่าง ๆ ให้กับคนที่เดือดร้อนและต้องการมันจริง ๆ แต่ก็มีอีกด้านหนึ่งที่ดูจะเป็นด้านที่ไม่สวยงามเท่าไรเมื่อพบว่ามีตู้ปันสุขหลาย ๆ ตู้ ถูกคนตระเวนไปหลาย ๆ ที่เพื่อกวาดเอาของไปจนหมด จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักถึงว่าตู้ปันสุขแบบนี้ไม่เหมาะกับสังคมไทยรึเปล่า ?
จากกรณีนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง ๆ หนึ่งที่เกิดที่ประเทศญี่ปุ่นครับ นั่นก็คือเรื่องของคุณยาย “ฮัทจัง” คุณยายอายุแปดสิบกว่า คนดังแห่งจังหวัดกุนมะ จังหวัดที่อยู่ห่างจากโตเกียวประมาณ 2 ชั่วโมง ถ้าเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง
คุณยายฮัทจังเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ที่บ้านของตัวเองในเมืองคิริว เมืองที่ไม่มีอะไรเลย ร้านอาหารของคุณยายรสชาติอาจจะไม่ได้โดดเด่น หรูหรา หรือใช้วัตถุดิบชั้นเลิศ แต่กลับมีรายการโทรทัศน์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศมากกว่า 20 รายการ เดินทางมาไกลเพื่อสัมภาษณ์คุณยายฮัทจังเป็นเวลามากกว่า 30 ปี ที่เปิดร้านมา
จุดเด่นของร้านเล็ก ๆ ของคุณยายคืออะไร ทำไมถึงมีแต่คนที่อยากเดินทางมายังเมืองที่ไม่มีอะไรแห่งนี้เพื่อมาร้านคุณยายหรือมาสัมภาษณ์คุณยายด้วย ?
คำตอบก็คือร้านเล็ก ๆ ของคุณยายเป็นร้านที่พิเศษครับ ปกติเราทำธุรกิจร้านอาหารหรือว่าธุรกิจอะไรก็ตาม เราก็ต้องการที่จะได้ผลกำไร ไม่อย่างนั้นธุรกิจก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ หรือที่เรียกแบบเพราะ ๆ ว่า “เจ๊ง” นั่นเอง
แต่ร้านของคุณยายฮัทจังกลับกล้าแหกทุกกฎของการทำธุรกิจ เพราะร้านของคุณยายนั้น นอกจากไม่เคยได้กำไรแล้วยังขาดทุนทุกเดือน และตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ร้านของคุณยายก็ขาดทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จากเดิมขาดทุนแค่ไม่กี่หมื่นเยนก็เพิ่มขึ้นมาเป็นขาดทุนเดือนละ 70,000 เยน (ประมาณ 21,000 บาท) และในปัจจุบันร้านของคุณยายก็ขาดทุนมากกว่า 100,000 เยน (ประมาณ 30,000 บาท) ทุกเดือน
ทำไมคุณยายถึงยังเปิดร้านที่เปิดแล้วทั้งเหนื่อยทั้งขาดทุนแบบนี้อยู่นะ ?
ร้านของคุณยายฮัทจังชื่อว่าร้าน はっちゃんショップ (ฮัทจังช้อป) เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ให้บริการอาหารแบบบุฟเฟต์ ตักกันเอง กินได้ไม่อั้น ไม่จำกัดเวลา ในราคาแค่เพียงคนละ 500 เยน (150 บาท) แม้อาหารในร้านอาจจะเป็นอาหารบ้าน ๆ ที่ไม่ได้หรูหราอะไร แต่ลูกค้าก็แวะเวียนมาที่ร้านของคุณยายฮัทจังจนแน่นร้านทุกวัน เพราะคุณยายเป็นคนที่โอบอ้อมอารีกับทุก ๆ คนเสมอ เด็ก ๆ กินฟรี ใครที่เดินทางมาไกลมาก ๆ ถ้าคุณยายรู้ก็จะให้กินฟรี แถมถ้าในวันนั้นมีวัตถุดิบเหลือ คุณยายก็จะนำมาทำอาหารแจกให้ทุกคนเอากลับบ้านกันไปถุงโต ๆ เลย
ลำพังค่าอาหารแค่คนละ 500 เยน ซึ่งเป็นราคาเดิมคงที่มาตลอดตั้งแต่สมัยเปิดร้านเมื่อ กว่า 30 ปีที่แล้ว มันก็ไม่เพียงพอกับค่าวัตถุดิบที่คุณยายไปซื้อมาทำอาหารด้วยซ้ำ แถมยังชอบลดแลกแจกแถมให้คนนู้นคนนั้นกินฟรีอยู่เรื่อยอีก แบบนี้จะไม่ให้ขาดทุนได้อย่างไร
สาเหตุที่คุณยายฮัทจังยังคงเปิดร้านต่อไปด้วยตัวคนเดียวที่ทั้งลำบากและเหนื่อย ต้องซื้อวัตถุดิบเอง ทำอาหารเอง ล้างจานเอง ทั้ง ๆ ที่ขาดทุนมาเรื่อย ๆ ทุกเดือน นั่นก็เพราะว่าในสมัยก่อนคุณยายฮัทจังเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจนมาก แถมยังถูกคนอื่นกลั่นแกล้งรังแกมาตลอด จึงทำให้คุณยายรู้ว่าความลำบาก และความหิวโหยนั้นมันทรมานมากขนาดไหน
พอโตขึ้นคุณยายก็ทำงานอย่างหนักจนสามารถเก็บเงินออกไปท่องเที่ยวทั่วประเทศได้ ในช่วงนั้นคุณยายได้สัมผัสกับความมีน้ำใจจากผู้คนในแต่ละที่ ที่หยิบยื่นให้ คุณยายจึงตัดสินใจใช้เงินที่เหลืออยู่จากการเก็บเงินมาค่อนชีวิตมาเปิดร้านอาหารแห่งนี้ เป็นการตอบแทนน้ำใจที่คุณยายเคยได้รับ และไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากหรือหิวโหยเหมือนที่เคยผ่านมาตอนเด็ก โดยสิ่งที่คุณยายต้องการนั้นไม่ใช่เงิน แต่คือรอยยิ้มที่มีความสุขของลูกค้าทุกคน
ความมีน้ำใจของคุณยายฮัทจังก็ส่งผลให้คุณยายกลายเป็นคนดังและเป็นบุคคลสำคัญของเมือง ได้รับฉายาว่าเป็นเหมือนกับแม่ชีเทเรซ่าของญี่ปุ่นเลยทีเดียว นอกจากจะมีลูกค้าที่เดินทางมาจากเมืองอันห่างไกลเพื่อตั้งใจมาหาคุณยายแล้ว ชาวบ้านในละแวกนั้น ก็แวะมาช่วยเหลือคุณยายเป็นประจำ ทั้งมาช่วยเป็นลูกมือทำอาหาร มาล้างจาน มาช่วยเก็บเงิน เช็ดโต๊ะ โดยที่ไม่รับค่าจ้างเลยแม้แต่น้อย เพียงเพื่ออยากตอบแทนคุณยายฮัทจัง
แต่เหรียญก็มีสองด้านเสมอ ด้วยความมีน้ำใจของคุณยายฮัทจังก็ทำให้มีคนที่เข้ามาเอาเปรียบคุณยายอยู่เสมอเหมือนกัน เมื่อก่อนคุณยายมีลูกจ้างเป็นลูกมืออยู่ถึง 5 คนในร้าน แต่ด้วยความใจดีของคุณยาย ลูกจ้างเหล่านี้ก็กลับขโมยของในร้านไปบ่อย ๆ จนคุณยายทนไม่ไหวและต้องไล่ออกไปแล้วทำร้านเองคนเดียวมาจนถึงปัจจุบัน
ชาวบ้านบางคนก็แวะเวียนมายืมเงินคุณยายแล้วไม่ยอมคืน หรือเป็นลูกค้าที่พอกินเสร็จก็เดินออกไปเลยโดยไม่ยอมจ่ายเงิน (แค่ 500 เยนก็ยังจะโกงอีกนะ…) ซึ่งไม่ได้มีจำนวนน้อย ๆ นะครับ
สำหรับลูกค้าที่กินแล้วชักดาบแบบนี้ เพราะเห็นว่าถึงคุณยายฮัทจังจะรู้ แต่คุณยายก็ไม่เคยว่า ทำให้มีคนที่เข้ามาเอาเปรียบด้วยการเข้ามากินฟรีอยู่เรื่อย ๆ จนเพื่อนบ้านต้องยื่นมือเข้ามาช่วยโดยการเปลี่ยนกฎให้ต้องจ่ายเงินก่อนเข้าร้านไปเลย แล้วก็มีคนแวะเวียนมาช่วยรับหน้าที่ในการเก็บเงินแทนคุณยาย เพื่อให้คุณยายไม่ต้องขาดทุนมากกับการกินแล้วชักดาบของลูกค้าอีกต่อไป
แม้จะถูกเอาเปรียบอยู่เรื่อย ๆ แต่คุณยายฮัทจังก็ยังยืนยันที่จะทำร้านที่ขาดทุนแบบนี้ โดยใช้ราคาเดิมแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป คุณยายเคยบอกว่าคุณยายได้จัดการเรื่องค่าทำศพของตัวเองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และไม่จำเป็นที่จะต้องเหลือเงินเก็บเอาไว้ทำอะไรอีกแล้ว ดังนั้นคุณยายก็จะใช้เงินที่เหลืออยู่เพื่อความสุขของผู้อื่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนวันสุดท้ายของชีวิต
เรื่องของคุณยายฮัทจังดู ๆ ไปก็มีความคล้ายคลึงกับเรื่องของ “ตู้ปันสุข” อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แม้แต่ในญี่ปุ่นประเทศที่ได้รับความชื่นชมในกฎระเบียบและความมีวินัยของคน แต่ก็ยังมีคนที่เข้ามาเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นอยู่ดี เหรียญมีสองด้านเสมอ จิตใจของคนก็เช่นกัน มีดี มีเลว มีมืด และมีสว่าง มีขาว มีดำ บ้างก็มีสีเทา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเห็นมันในมุมไหน
อ้างอิงข้อมูลจาก: tabelog.com , TBS NEWS
ติดตามบทความใหม่เกี่ยวกับเรื่องน่ารู้และเรื่องแปลก ๆ ของประเทศญี่ปุ่นทาง LINE TODAY: TOP PICK TODAY จากผมได้ทุกวันเสาร์นะครับ
ช่องทางการติดตามเพิ่มเติม
Facebook :Eak SummerSnow
Youtube : Eak SummerSnow
Asol Nat คุณยายหัวใจทองคำ 🙏
16 พ.ค. 2563 เวลา 02.09 น.
GNUN ทำอาหารขายเหนื่อยมากเลยน้ะ ยิ่งคนวัย 80 กว่าต้องไปซื้อวัตุดิบเอง ทำเอง อาหารมีหลายอย่าง ไม่ธรรมดาจริงๆคุณยาย
16 พ.ค. 2563 เวลา 02.31 น.
เรื่องราวของคุณยายนี้ได้ทำให้รู้ได้ว่า ถ้าคนเรานั้นมีสามัญสำนึกที่ดีๆให้ต่อกันแล้ว ก็คงจะช่วยทำให้ลดกับปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นตามมาได้เสมอ.
16 พ.ค. 2563 เวลา 01.57 น.
คุณชาญ ถ้าเป็นเมืองไทยคงมีหลายคนเข้าไปกินแล้วจ่ายให้เกินราคาที่ตั้งไว้เพื่อช่วยสนับสนุนคุณยายแน่ๆ การทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเพศวัยหรือคุณวุฒิ อยู่ที่จิตใจที่เป็นผู้ให้เหมือนคุณยายท่านนี้ยังไงล่ะครับ
16 พ.ค. 2563 เวลา 02.31 น.
ห้องว่าง ใจของคุณยายทั้งสวยทั้งมีน้ำใจ....
16 พ.ค. 2563 เวลา 02.32 น.
ดูทั้งหมด