ไลฟ์สไตล์

เตือน 5 อาการโรคจิตเภทควรรีบพบแพทย์

new18
เผยแพร่ 02 มิ.ย. 2563 เวลา 15.00 น. • new18
จิตแพทย์เตือน 5 อาการเด่น โรคจิตเภท ควรรีบพบแพทย์ ชี้โรคนี้รุนแรงเท่าป่วยอัมพาตทั้งตัว หากไม่รักษา

จิตแพทย์เตือน 5 อาการเด่น โรคจิตเภท ควรรีบพบแพทย์ ชี้โรคนี้รุนแรงเท่าป่วยอัมพาตทั้งตัว หากไม่รักษา
นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผอ.รพ.จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ จ.นครราชสีมา ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับโรคจิตเภท(Schizophrenia) ว่า โรคนี้เป็นการเจ็บป่วยทางจิตที่รุนแรง พบได้มากที่สุดประมาณร้อยละ70 ของกลุ่มผู้ป่วยโรคจิตทั้งหมด พบได้ทั่วโลกทั้งหญิงและชาย มักมีอาการเรื้อรัง สาเหตุเกิดจากสารสื่อประสาทในสมองทำงานผิดปกติ มีผลให้ผู้ป่วยมีความผิดปกติทั้งความคิด การรับรู้ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง มีอารมณ์และพฤติกรรมผิดแผกไปจากคนทั่วไป ตลอดช่วงชีวิตประชาชนจะพบอัตราป่วยโรคนี้ได้ประมาณร้อยละ 1 แม้ว่าจะเกิดไม่มาก แต่เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพประชากรรุนแรง คือทำให้ผู้ป่วยไร้ความสามารถในการดำเนินชีวิต โดยมักจะเริ่มมีอาการป่วยในช่วงอายุ 15-35 ปี ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 9 ได้แก่นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์และสุรินทร์ คาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 44,000 คน ในปีที่ผ่านมารพ.เครือข่ายในเขตสุขภาพที่ 9 ซึ่งมี 89 แห่ง ได้ให้การรักษาและฟื้นฟูครอบคลุมผู้ป่วยแล้วร้อยละ 85 ตั้งเป้าจะให้ครอบคลุมทั้งหมดโดยเร็วตามนโยบายของกรมสุขภาพจิต

สำหรับลักษณะอาการเฉพาะที่โดดเด่นของโรคจิตเภทมักพบได้บ่อยมี 5 อาการคือ 1.หลงผิด เช่นผู้ป่วยคิดว่าตนเองมีอำนาจลึกลับ ส่งกระแสจิตได้ หรือเป็นผู้วิเศษ 2.ประสาทหลอนคือมีการรับรู้ที่ผิดปกติ ที่พบบ่อยคือหูแว่ว เช่นได้ยินเสียงใบไม้ไหวเป็นเสียงเพลง ได้ยินเสียงคนนินทาทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ บางคนมองเห็นผิดเพี้ยนไป เช่น เห็นเชือกเป็นงู บางคนอาจได้กลิ่นผิดปกติ บางคนรู้สึกว่ามีแมลงไต่ตามตัว เป็นต้น 3. การพูดจาไม่สัมพันธ์หรือไม่ประติดประต่อกัน พูดหลายเรื่องมารวมกัน 4. มีพฤติกรรมถดถอย เช่น แสยะยิ้ม แต่งตัวแปลกประหลาด แยกตัวเองออกจากสังคม หรืออยู่ในท่าทางแปลกๆ ทำอะไรเป็นพิธีกรรมไปหมด เป็นต้น 5. อารมณ์เปลี่ยนแปลง เช่น สีหน้าทื่อๆ ไม่แสดงอารมณ์ เฉยเมย บางคนแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

“หากพบคนในครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิด มีอาการที่กล่าวมาอย่างน้อย 2 ข้อ ปรากฏมานาน 1 เดือนขึ้นไป ขอให้สงสัยว่าอาจป่วยเป็นโรคจิตเภท ขอให้รีบพาไปรับการรักษาที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็ว สามารถใช้สิทธิการรักษาได้เช่นเดียวกับโรคทางกาย หัวใจหลักของการรักษาคือการใช้ยาเพื่อทุเลาอาการทางจิต ควบคู่กับการฟื้นฟูทางจิตใจและสังคมตามสภาพปัญหาผู้ป่วยแต่ละราย โรคนี้ยิ่งถึงมือแพทย์เร็วเท่าใด ยิ่งเป็นผลดี ผู้ป่วยจะมีโอกาสหายขาดหรือทุเลา สามารถใช้ชีวิตประจำวันและทำงานได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป” นพ.กิตต์กวี กล่าว

นพ.กิตต์กวี กล่าวต่อไปว่า หากเป็นโรคจิตเภทแล้วไม่รักษาหรือรักษาอย่างไม่ถูกทาง จะทำให้อาการทางจิตยิ่งทรุดลงและเรื้อรัง เพิ่มความเสี่ยงอันตรายทำร้ายตัวเองหรือสิ่งของหรือคนรอบข้าง ผู้ป่วยจะสูญเสียศักยภาพความสามารถในการดำเนินชีวิต ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้เปรียบเทียบความรุนแรงว่าเท่ากับผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตทั้งตัวคือร่างกายอ่อนแรงขยับตัวไม่ได้เลย และยังอาจทำให้เกิดโรคซึมเศร้า นำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ รวมทั้งอาจกลายเป็นคนติดเหล้าหรือสารเสพติดจากการที่ผู้ป่วยพึ่งพิงใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อลดอาการหลอนทางประสาทของตัวเอง ยิ่งเกิดความซับซ้อน ยุ่งยากขึ้นไปอีก

สำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเภทที่ผ่านการบำบัดรักษาและออกจากโรงพยาบาลฯแล้ว เงื่อนไขสำคัญที่ส่งเสริมการหายป่วยจากโรคนี้ก็คือ ครอบครัวและญาติต้องดูแลให้ผู้ป่วยกินยาให้ต่อเนื่องครบสูตรตามที่แพทย์สั่งอย่างน้อย 6 เดือนหรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับอาการและระยะเวลาของการป่วย ต้องไม่ปรับลดหรือเพิ่มยาเอง พาผู้ป่วยไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ และดูแลไม่ให้ผู้ป่วยดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมทุกชนิด งดสูบบุหรี่และสารเสพติดทุกชนิดซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นให้อาการกำเริบ ป่วยซ้ำอีก ยิ่งป่วยซ้ำถี่เท่าใด ยิ่งทำให้สมรรถภาพเสื่อมถอยลง นอกจากนี้ควรดูแลจิตใจ อารมณ์ คุณค่าความรู้สึกของผู้ป่วยด้วย โดยพูดคุยให้กำลังใจ ให้ผู้ป่วยทำงานตามศักยภาพเพื่อสร้างความรู้สึกว่ามีคุณค่าในครอบครัว เรื่องที่พึงระมัดระวังก็คือไม่พูดประชดประชัน เจ้ากี้เจ้าการเกินความจำเป็น หรือพูดตำหนิติเตียน เปรียบเทียบผู้ป่วยกับคนอื่น ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดอารมณ์โกรธหรือเสียใจ หรือรู้สึกไร้คุณค่า

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง
ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 8
  • ขนาดคนประเมิณยังจะเป็นเลย 55555 คิดว่าคนนั้นเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ จะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ (555) ปฎิบัติตามคำสอนและแนวทางพุทธเจ้าดีกว่า จิตใจจะได้ดีขึ้นจริงๆ และก็ไม่ใช่แบบเลิกเป็นจิตอย่างหนึ่งแล้วก็ดันไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง...
    03 มิ.ย. 2563 เวลา 03.06 น.
  • Chulabhath
    วิธีที่ดีที่สุดคือ พาออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ปรับเปลี่ยนที่อยู่ หาอาหารทานเปลี่ยนรส ไปงานสังสรร รื่นเริง หายแนนอน ถ้าไปหาหมอ คุณจะไปตลอด แล้วจะถูกตราหน้าว่า โรคจิต บ้า หรือไม่ก็ประสาท ที่ดีที่สุด คือ คนรอบข้าง ต้องส่องช่วยเหลือ เพราะพวกนี้มักจะเกิดจากการกระทบจิตใจที่รุนแรง อย่าลืมว่า ตัวคุณรักษาตัวคุณเอง คนรอบข้างต้องเข้าใจ
    03 มิ.ย. 2563 เวลา 02.55 น.
  • คนโรคจิตเค้าน่าเห็นใจนะ แต่พวกคนชั่ว คนเลว คนชอบใส่ร้ายคน คนโลภ คดโกง/นี่ไม่น่าสงสารแต่ควรรับกรรม
    03 มิ.ย. 2563 เวลา 02.53 น.
  • Vitoon
    ในช่วงท้ายของข่าวบอกว่า"ไม่ควรพูดประชดประชันหรือตำหนิให้ผู้ป่วยเกิดอาการโกรธ" อันนี้ใช่นะ ผมเคยอ่านบทความเรื่อง"ตราบาปผู้ป่วยจิตเวช" มีผู้หญิงคนหนึ่งป่วยทางจิตเวชต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล พอออกมาข้างบ้านรู้ก็แกล้งตะโกนให้ผู้หญิงคนนั้นได้ยินว่า"เฮ้ย อีบ้ามันกลับมาแล้ว" พอผู้หญิงคนนี้เดินไปซื้อของในซอยแถวบ้าน ก็มีเด็กกลุ่มหนึ่งขี่จักรยานผ่านและตะโกนล้อว่า"อีบ้า อีบ้ามาแล้ว" ผู้หญิงคนนั้นโกรธจึงถอดรองเท้าขว้างปาใส่เด็กกลุ่มนั้น ดูเหมือนเป็นเรื่องตลกขบขันนะ แต่มันเป็นการตราบาปให้กับชีวิตเขา
    03 มิ.ย. 2563 เวลา 02.42 น.
  • Nong
    เดี๋ยวนี้มีให้เห็นเยอะมาก ก็น่าสงสารเขานะ แต่บางรายออกอาการหนักคือไปวิ่งทำร้ายคนอื่นโดยที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยแบบนี้ก็น่าจะอยู่รักษาตัวในที่ ที่ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านได้ หรือญาติโยมต้องดูแลให้ดี ส่วนมากติดจากเหล้าและที่ร้ายที่สุดจากการเสพยาจนหลอน แล้วถึงกับฆ่าคนในบ้าน รัฐต้องตระหนักแล้ว จัดไปเลย ขายยาประหารลูกเดียว เสพยา(ก็รู้ว่ามันไม่ดียังโง่เสพอีก)ก็เข้าคุกตลอดชีพไปเลยดูสิจะเบาบางลงมั้ย?
    03 มิ.ย. 2563 เวลา 02.38 น.
ดูทั้งหมด