ยานยนต์

Ferrari F80 ไฮเพอร์คาร์ม้าลำพอง กับ 12 สูบที่หายไป

autoinfo.co.th
เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว

Ferrari (แฟร์รารี) เปิดตัวสุดยอดยนตรกรรมรุ่นใหม่สานต่อความสำเร็จ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไฮเพอร์คาร์ของค่ายที่เปลี่ยนจากขุมพลัง V12 อันเป็นเอกลักษณ์มาเป็น V6 Hybrid

รวมความเป็นที่สุดของม้าลำพองไว้ในคันเดียว

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

นับเป็นการเปิดตัว (ใกล้) ครบรอบ 80 ปีอย่างยิ่งใหญ่ กับม้าลำพองแดนอิตาลีอย่าง Ferrari ได้เปิดตัวไฮเพอร์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุด นั่นคือ Ferrari F80 (เอฟ 80) ก่อนหน้านี้ใช้รหัสเรียกกันว่า F250 (เอฟ 250) ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า Ferrari ได้ยุติการใช้เครื่องยนต์ V12 ที่แสนจะดุดัน และมีเสียงอันหอมหวานออกไปเป็นที่เรียบร้อย และถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ไฮบริด V6 Twin Turbo ที่ทรงพลัง

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

แน่นอนว่าสาวกผู้ที่ชื่นชอบรถรุ่นดั้งเดิมอาจบ่น และมีเสียงแง่ลบถึงการยกเลิกเครื่องยนต์ V12 ไป แต่จริงๆ แล้วเครื่องยนต์ V6 ตัวนี้ก็มีประวัติมาอย่างยาวนาน โดยมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับเครื่องยนต์ที่ใช้ในรถแข่ง Le Mans นั่นคือ Ferrari 499P ซึ่งได้รับชัยชนะในการแข่งขันมาถึง 2 สมัยติดต่อกัน โดยได้รับการต่อยอดพัฒนาให้ได้ขีดสุด สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 2.15 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดทำได้ "มากกว่า 350 กม./ชม."

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ขนาด และมิติตัวถังของ Ferrari F80 จะมีความยาวอยู่ที่ 4,840 มม. ความกว้าง 2,060 มม. ความสูง 1,138 มม. ความยาวฐานล้อ 2,665 มม. น้ำหนักตัวรถ 1,525 กก. (หนักกว่า LaFerrari ถึง 170 กก.) และความจุพื้นที่เก็บสัมภาระ 35 ลิตร

Ferrari F80 ได้แรงบันดาลใจจาก Ferrari Daytona 365 GTB/4 (เดย์โทนา 365 จีทีบี/4) และ Ferrari F40 (เอฟ 40) แต่มีเส้นดีไซจ์นที่โดดเด่นตามสมัยนิยม โดย Flavio Manzoni หัวหน้าฝ่ายออกแบบ Ferrari Styling Centre เน้นภาษาการออกแบบเหลี่ยมคม ล้ำยุคด้วยประตูแบบปีกผีเสื้อ Butterfly doors เหมือนรุ่นพี่ Ferrari Enzo (เอนโซ)/Ferrari Laferrari (ลาแฟร์รารี) อีกจุดที่เห็นได้ชัดจากกระจังหน้าสีดำแบบแถบยาว ซึ่งมีเทคโนโลยี Active Aero พร้อมช่องลมฝากระโปรงแบบ S-ducts ผสานการจัดการการไหลผ่านของอากาศ และจมูกหน้า ผ่านลงดิฟฟิวเซอร์ด้านหลัง และการปรับปีกหลัง จะสร้างแรงกดอากาศ Downforce สูงสุด ได้ถึง 460 กก. ที่ด้านหน้า และที่ด้านหลัง 590 กก. ที่ความเร็ว 250 กม./ชม. ผสานกับโครงสร้างรถใหม่หมดเป็น Carbonfiber Monocoque แบบ Pre-preg ที่ผ่านการเข้าตู้อบแรงดัน Autoclave ไฟหน้าแบบ LED ติดตั้งแบบซ่อนตัวไปกับรูปลักษณ์ของตัวถัง เพื่อเน้นประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์สูงสุด

ด้านท้ายมีการปรับเปลี่ยน โดยการเอากระจกหลังออกเพื่อชดเชยด้วยกล้องมองหลังตัวรถ ฝาครอบเครื่องยนต์มีความดุดัน และเข้ากันกับไฟท้าย LED มาเป็นรูปแบบยึดกับสปอยเลอร์ในตัว พร้อมระบบ Active Rear Wing ขนาด 1.8 เมตร สามารถปรับระดับความสูงได้ 200 มม. กางอัตโนมัติเมื่อทำความเร็วสูง รอบนี้ F80 วางตำแหน่งท่อไอเสียอยู่บริเวณกึ่งกลางพร้อมแผงดิฟฟิวเซอร์หลังขนาดใหญ่กว่า 296 GTB ล้ออัลลอยคู่หน้าขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 285/30 R20 หลัง 21 นิ้ว พร้อมยาง 345/30R21 จาก Michelin มีให้เลือกทั้ง 2 รุ่น คือ Pilot Sport Cup2 และ Pilot Sport Cup2R

ส่วนสีภายนอกก็มีให้เลือกมากมาย แบ่งเป็นสีมาตรฐาน มากถึง 35 สี อย่างสีขาว Bianco Avus, สีเหลือง Giallo Modena, สีน้ำเงิน Blu Corsa หรือสีแดง Rosso Scuderia เป็นต้น

Ferrari F80 ออกแบบภายในห้องโดยสาร เรียกว่า “1+1” ด้วยรูปแบบเบาะนั่งให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในศูนย์กลางแบบรถแข่งตั้งแต่วินาทีแรกที่เลื่อนตัวไปอยู่หลังพวงมาลัย แป้นคันเร่งสามารถเลื่อนเข้าตามความยาวขาได้ เบาะนั่งคนขับเป็นสีแดงแบบปรับขึ้นหน้า-ถอยหลังได้ (Adjustable Sport Bucket) แต่ไม่สามารถเอนได้ ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสารเป็นเพียงเบาะเสริม จะอยู่ด้านหลังมากขึ้นไม่สามารถปรับทิศทางได้แต่อย่างใด ทำให้ห้องโดยสารแคบลง และหุ้มด้วยสีโทนเดียวกับส่วนอื่นๆ ของห้องโดยสาร ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนนั่งคนเดียว รวมถึงมุมคอนโซลกลางหันเข้าหาคนขับจนผู้โดยสารแทบจะมองไม่เห็นปุ่มควบคุมปรับอากาศแบบดิจิทอล และสวิทช์เปลี่ยนเกียร์คล้ายคันเกียร์แบบโอเพนเกทสไตล์ Ferrari Classic และพื้นที่เก็บกระเป๋าเดินทาง (24 hour suitcase space) ครั้งแรกในรถ Ferrari พร้อมตาข่าย และสายรัด สำหรับผู้โดยสาร และบริเวณที่วางเท้า

พวงมาลัยมีลักษณะแบบ 3 ก้าน พร้อมปุ่มควบคุมตัวรถแบบปุ่มกดจริง รวมไว้ในจุดเดียว มีรูปแบบการตกแต่งภายในให้เลือกถึง 5 แบบ โดยเน้นที่ Alcantara และพื้นผิววัสดุ Carbonfibre สีเบาะนั่งเปลี่ยนได้เฉพาะเบาะคนขับเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเบาะนั่งผู้โดยสารจะมีแค่แผง Alcantara สีดำเรียบๆ เท่านั้น สำหรับลูกค้าต้องการตัวเลือกเบาะที่ปรับแต่งเองก็สามารถทำได้

V12 ที่หายไป ทำไมต้อง V6 Hybrid

Enrico Galliera ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และการสื่อสารของ Ferrari กล่าวว่า มีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ เมื่อไม่นานนี้ หลายคนได้เห็นถึงข่าวลือว่าทำไมไฮเพอร์คาร์ F80 ถึงใช้เครื่องยนต์ V6 แทนที่จะเป็น V12 Galliera อธิบายว่า Ferrari เลือกที่จะติดตั้งเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่มีความล้ำหน้าเป็นไปตามนโยบายของกฎหมายควบคุมมลพิษที่มีความเข้มงวดมากขึ้น และในขณะเดียวกันยังให้สมรรถนะสูงสุดกับไฮเพอร์คาร์ "เราจึงตัดสินใจเลือกเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมากกว่าเครื่องยนต์ดั้งเดิมที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งนี่คือแนวทางที่ดีที่สุด"

ไฮเปอร์คาร์ 3 คันล่าสุดทั้ง LaFerrari, Enzo และ F50 ล้วนขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V12 แต่ F80 มีกระบอกสูบน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง กับเครื่องยนต์ F163CF เป็น V6 ขนาด 3.0 ลิตร แบบ 120 องศาที่ปัจจุบันใช้ร่วมกับเครื่องยนต์ใน Ferrari 296 GTB ซึ่งมีการพ่วงระบบอัดอากาศ Electric Exhaust Gas Turbocharged ให้กำลังได้เพิ่มขึ้นเป็น 900 แรงม้า แรงบิดเพิ่มขึ้นเป็น 850 นิวทันเมตร ทำตัวเลข 0-200 กม./ชม. ภายใน 5.7 วินาที ทำงานผสานกับบูสต์ไฮบริด E-Turbo (MGU-H) เทคโนโลยีเดียวกับรถ F1

Ferrari F80 มีมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Axial flux ถึง 3 ตัว มอเตอร์ 2 ตัวอยู่ที่ด้านหน้าส่งกำลังสูงสุด 286 แรงม้า (210 กิโลวัตต์) ไปยังล้อหน้า และเปิดใช้งานฟังค์ชันควบคุมแรงบิด Ferrari กล่าวว่าน้ำหนักที่ลดลง 61.5 กก. (136 ปอนด์) นั้นเบากว่า SF90 ถึง 14 กก. (31 ปอนด์) และมอเตอร์ตัวที่ 3 ส่งกำลัง 81 แรงม้า (60 กิโลวัตต์) ไปยังล้อหลัง แต่สามารถสร้างกำลังได้ถึง 95 แรงม้า (70 กิโลวัตต์) โดยการเก็บพลังงานไฟจากการเบรค แบทเตอรี High Voltage Battery ของระบบไฮบริดมีความจุไฟ 2.28 กิโลวัตต์ชั่วโมง (860 โวลท์) ถูกจัดเก็บไว้ในผนังคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบา ส่งกำลังด้วยเกียร์ Dual-clutch F1 DCT 8 จังหวะ ให้พละกำลังรวมระบบไฮบริดสูงสุดถึง 1,184 แรงม้า (1,200 PS) เป็นไฮเพอร์คาร์ขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นแรกของ Ferrari ที่ทรงพลังที่สุด ถึงแม้จะมีพลังงานไฟฟ้ามากมาย แต่ F80 ไม่มีโหมด EV วิ่งไฟฟ้าล้วนในเมือง

นอกจากนี้ Ferrari ยังได้ปรับแต่งระบบส่งกำลังเพื่อให้รู้สึกเหมือนกับเครื่องยนต์รุ่นก่อนๆ ด้วย โดยเพิ่มนวัตกรรมอัจฉริยะใหม่ เรียกว่า Boost Optimization เป็นระบบปรับพลังงานของรถให้สอดคล้องกับลักษณะการขับขี่ เมื่อเปิดใช้งานโหมด Qualifying แล้วผู้ขับจะสังเกตรอบสนามแข่งที่เลือก จากนั้นระบบจะบันทึกทางโค้ง และทางตรง เพื่อดูว่าตัวรถจะเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนไหนบ้าง และเก็บข้อมูลประมวลผล พร้อมที่จะนำไปใช้ในรอบต่อไป

ระบบกันสะเทือนของ F80 ใช้ระบบกันสะเทือนแบบแอคทีฟ True Active Spool Valve (TASV) พัฒนาร่วมกับ Multimatic ใช้ตัววัดอัตราเร่ง และเซนเซอร์ที่อยู่ในช่วงล่างแต่ละล้อ ซึ่งติดตั้งแอคชูเอเตอร์เพาเวอร์ไฟฟ้าไฮดรอลิค 48 โวลท์ บนชอคอับแต่ละตัว เป็นเทคโนโลยีจากม้าลำพองรุ่นใหญ่ Purosangue (ปูโรซังกเว) ที่เข้ามาช่วยในเรื่องตัวรถให้เข้าโค้งในสนามได้ดีขึ้น เพื่อลดภาระการถ่ายน้ำหนักให้น้อยที่สุด และยังเป็นพันธมิตรร่วมกับ Brembo พัฒนาเบรคคาร์บอน CCM-R Plus เจเนอเรชันใหม่ ซึ่งมีความแข็งแรงมากกว่าคาร์บอนเดิมถึง 2 เท่า และนำความร้อนได้ดีกว่าเบรคคาร์บอนรุ่นเก่าถึง 300 % อีกด้วย

799 คันในโลก จองหมดก่อนเปิดตัว

สำหรับ F80 มีราคาค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 3.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ราวๆ 130,000,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า และออพชันเสริม ซึ่งตอนนี้แต่ละคันถูกจับจองจนหมดก่อนที่รถรุ่นนี้จะเปิดตัวสู่สาธารณชนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แน่นอนว่ามีผู้ที่ชื่นชอบรถสปอร์ทจำนวนมากในโลกที่ยอมจ่ายเงินจำนวนนี้ เพราะทาง Ferrari ระบุว่าจะผลิตรถรุ่นนี้จำนวนเพียง 799 คัน ซึ่งต่างจาก LaFerrari ที่ผลิตได้เพียง 499 คันเท่านั้น รถรุ่นดังกล่าวมียอดจองล้นหลามอีกเช่นเคย

ดูเหมือนว่าทาง Ferrari เลือกตัดสินใจสร้างไฮเพอร์คาร์รุ่นใหม่โดยไม่มีเครื่องยนต์ V12 มาใช้อีกต่อไป แม้ว่าผู้ที่ชื่นชอบรถรุ่นดั้งเดิมจะยังสงสัยว่า Ferrari กำลังค่อยๆ ห่างหายจากจิตวิญญาณของรถที่ตนสร้างไปหรือไม่ ก็เห็นได้ชัดว่าลูกค้าระดับสูงของม้าลำพองทั่วโลกนั้น ก็ยังไม่ได้รู้สึกเสียใจมากนักกับการเปลี่ยนแปลง เพราะสุดท้ายมันก็คือยอดรถที่เป็นที่สุดที่ควรจะมีไว้ครอบครอง

ดูข่าวต้นฉบับ