ห้องอัดวันนั้นเย็นเยียบด้วยเครื่องปรับอากาศ
แต่บรรยากาศยิ่งเย็นเข้าไปอีก
เมื่อพนักงานเวิร์คพอยท์คนหนึ่ง เดินพินอบพิเทาเข้ามา
.
“พี่ครับ ผมอยากจะขอโทษพี่
ก่อนหน้านี้ห้าหกปีก่อน ผมเคยพูดไม่ดีกับพี่ไว้
พี่อาจจะจำไม่ได้ แต่ผมจำได้ดี…”
เขาพูดค่อยๆ เหมือนกลัวคนอื่นจะได้ยิน
.
“คือวันนั้นผมเจอพี่ร้องเพลงอยู่ในห้องอัด
เป็นเพลงโฆษณาอะไรสักอย่างนี่แหละ
แล้วผมก็บอกว่า…เสียงร้องของพี่มันไม่เหมาะกับเพลงนั้น”
.
ผมทบทวนความหลังหนนั้น
คุ้นๆว่าเคยมาใช้ห้องอัดที่นี่ เพื่อทำเพลงโฆษณาอยู่บ้างแม้ไม่บ่อย
.
“อ๋อ… ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ได้ถือสาว่าอะไร”
ผมพูดเบาๆให้เขาได้ยิน
น้องยังทำหน้าตาไม่สบายใจ
“ตอนนั้นผมไม่ค่อยรู้จักพี่สักเท่าไหร่
..ผมไม่น่าจะพูดแบบนั้นกับพี่เลย”
.
“ ไม่เป็นไรหรอก.. พี่ไม่ได้โกรธ
จริงๆ พี่ก็รู้ว่า เสียงพี่ไม่เหมาะกับเพลงนั้นจริงๆ
แต่ลูกค้าอยากได้ก็เลยต้องร้องให้เขา”
.
คงมีไม่กี่คนหรอกที่กล้าบอกคนอื่นว่า เสียงของเขาไม่เหมาะกับเพลงนั้น
แต่ครูทัศนา ซึ่งเป็นครูสอนประวัติศาสตร์เมื่อสมัยมัธยม บอกผมอยู่เรื่อยๆ หมายถึงบอกตอนที่ผมบันทึกเสียงเป็นนักร้องออกอัลบั้มมีชื่อเสียงแล้วด้วยนะ
“นี่เธอเวลาร้องเพลง ลูกทุ่ง ลูกคอเธอยังไม่ค่อยเอื้อนสักเท่าไหร่
ครูว่า เวลาหายใจ เธอดูหายใจแรงไปหน่อยนะ
บางเพลงเสียงมันเกร็งๆ….”
.
ผมบอกขอบคุณครูทุกครั้ง
บอกครูว่าวันหลังไปช่วยฟังในห้องอัดเลยดีไหมครู
ที่พูดไปนี่ไม่ได้ประชดประชัน แต่ครูสอนประวัติศาสตร์ของผมคนนี้เป็นนักฟังเพลง และฟังได้ละเอียดลออ มีประสาทสัมผัสซึ่งจับสัญญานการร้องได้ดีเป็นพิเศษ
.
ล่าสุดผมทำเพลงใหม่เสร็จ พอถ่ายทำบันทึกเสียงส่งไปในกลุ่มไลน์ของพี่น้องครอบครัวตัวเอง หวังว่าพี่ๆ จะช่วยกันส่งให้กระหึ่ม
.
พี่สาวคนสนิท รีบไลน์ตอบกลับมา
“ฟังแล้วไม่เร้าใจ”
ผมนึกในใจ นี่ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงจะน้อยใจ พาลโกรธและหมดกำลังใจ
.
แต่ผมรู้ว่าแม้เราจะเป็นคนดนตรี มีประสบการณ์ในวงการมานานหลายปี
แต่สามัญสำนึก หรือเซ้นส์ของคนฟังดนตรีธรรมดาๆ นี่แหละควรรับฟังอย่างยิ่ง
หากพี่สาวคนสวยของผมผู้ซึ่งเรียนจบเกษตรศาสตร์พืชสวน แต่ชอบดูคอนเสิร์ตเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ชอบนี่
รับรองได้ว่าโอกาสจะแจ้งเกิดยากเต็มที
.
ที่สำคัญ ผมไม่เคยรู้สึกโกรธที่คนเหล่านั้นต่อว่า หรือบอกกล่าวเลย
เสียงเหล่านี้ กลับเป็นเสียงน่าฟัง
และคงจะมีกี่ครั้งที่เขาจะกล้าเอ่ยออกมา โดยที่เขาเหล่านั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วยเลยสักนิด
จริงทำเป็นชมๆกดไลค์ไปก็หมดเรื่อง
.
ผมอยู่กับเสียงปรบมือและคำชมเชยมาตลอด
จนจำแทบไม่ได้หรอกว่า ใครชมอะไรบ้าง เพราะมันต่อเนื่องมานานหลายสิบปี
.
แต่เกือบทุกคำติ มักจะจำได้ไม่ค่อยลืม
โดยเฉพาะคำติที่ออกมาจากใจ ของคนที่เป็นพรรคพวกเดียวกัน
.
ช่วงนี้ผมผันตัวเองมาทำงานจัดอบรม
เป็นงานซึ่งต้องใช้ทีมงานช่วยหลายคนโดยเฉพาะน้องๆ คนรุ่นใหม่ๆ
ล่าสุดรับน้องใหม่มาสองคน
.
คนแรกเรียบร้อย ใสๆ จากเมืองแพร่
ตอนคุยสรุปงานกัน น้องบอกว่า อ้ายจุ้ย เวลาทำงานชอบเปลี่ยนแผนไปมา จนคนทำตามทำไม่ค่อยจะถูก ไม่เหมือนกับงานที่หนูเคยทำ
น้องอีกคนมาจากสงขลา แม้จะเรียนยังไม่จบ แต่มีประสบการณ์ทำงานมาระหว่างเรียน บอกว่า
ตอนจบงาน มันยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หนูว่า ถ้าจบให้เจ๋งกว่านี้จะดีกว่า ปล่อยคนเลิกอบรมไปกินของว่างเฉยๆ แบบนั้นมันดูจบแบบจืดๆ
.
ทั้งสองความคิดเห็นช่างน่าสนใจ เมื่อออกมาจากปากจากใจของน้องๆ ที่เพิ่งมาร่วมงานกันเป็นครั้งแรก
แม้ผมจะทำการอบรมมาหลายปี แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งต้องนำไปปรับปรุงทั้งสิ้น
.
ช่วงหนึ่งของการอบรม
ผมให้ผู้เข้าอบรม ส่งงานกลุ่มที่ให้ไปถ่ายทำคลิปมา
บอกเขาว่า จะเปิดขึ้นจอให้ชมร่วมกันรอบแรก
เมื่อได้รับการ ติชมแล้วค่อยนำไปปรับปรุง แล้วคืนนี้จะเปิดให้ผู้บริหาร และสื่อมวลชนชมอีกครั้ง
ผู้เข้าอบรมอิดออดแล้วประท้วงว่า หากเปิดให้ชมสองครั้ง ค่ำคืนนี้มันก็จะกร่อยๆ
อ้าวแล้วจะทำยังไง
เขาบอกว่า ก็เปิดดูชมเป็นการส่วนตัวก่อน ติชมกันแล้วไปแก้ พอคืนนี้ก็ค่อยชมพร้อมๆ กัน
.
ผมคิดแล้วก็ปรับไปตามที่ผู้เข้าอบรมแนะนำ
นึกๆว่านี่ขนาดเราทำงานด้านการดูแลอารมณ์ของผู้คนมาตลอด
ยังมีบางภาวะที่ความคิดผิดพลาดเหมือนเป็นออทิสติกชั่วคราว
คือคิดอะไรแบบที่ไม่สมควรคิด
.
รู้สึกว่า การประท้วง สิ่งซึ่งเรายังคิดไม่รอบคอบนั้นเป็นสิ่งดี
เราควรจะยอมรับและสร้างวัฒนธรรมของการเห็นต่าง และกล้าเสนอความคิดที่ดีกว่า
ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหนๆ
เพราะเสียงเหล่านี้ คือเสียงสะท้อนอย่างแท้จริง
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเสียงติ ที่มาจากใจ ไม่ว่าจะแก้ไขได้หรือไม่
.
พลางคิดว่า เรานี่ช่างโชคดีเหลือเกินที่มีคนคอยชี้แนะบอกให้ตลอดเวลา
น่ายินดีว่าได้ยืนอยู่ในจุดที่มีคนกล้าติ
พลางคิดสงสัยและนึกสงสาร
คนซึ่งขาดไร้ซึ่งกัลยาณมิตร คอยติติงระหว่างเส้นทาง
แล้วปล่อยให้เขาเหล่านั้นเดินผิดทิศไปผิดทาง
จนกลับไม่ได้ไป..ต่อก็ไม่ถึง…เพราะไม่มีใครคอยตักเตือน
__
ติดตามบทความใหม่ ๆ จากศุ บุญเลี้ยง ได้ทุกวันพุธ บน LINE TODAY และหากสามารถอ่านบทความอื่นได้ที่เพจศุ บุญเลี้ยง
ในสังคมของเราทุกวันนี้ น้อยคนนักที่จะมีคนที่ยอมรับกับในความเป็นจริงต่อในสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากตนเอง เห็นมีแต่จะหาข้ออ้างและเหตุผลของตนเองเสมอ สังคมถึงได้มีปัญหาเกิดขึ้นมาแทบจะทุกวัน.
29 ม.ค. 2563 เวลา 03.58 น.
vitaya เรื่องการเมืองก็ควรเคารพในดวามเห็นต่างนะจุ้ย
29 ม.ค. 2563 เวลา 07.54 น.
ภูวดล ถ้ายังยกย่องคนชั่วไม่เห็นค่าของคุณความดีก็สมควรโดน
29 ม.ค. 2563 เวลา 04.14 น.
Umpon ขอบคุณครับ จะนำไปปรับใช้นะครับ
29 ม.ค. 2563 เวลา 04.31 น.
Yongyuth ถ้าได้คนดีมาตำหนิติเตียน ก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าได้คนชั่ว ช้าสามานย์ มาตำหนิติเตียน ถือว่าโชคร้าย เพราะคนชั่วมักจะชอบคนชั่ว ชมเชยคนชั่ว ด้วยกัน และจะหา โอกาส ตำหนิติเตียน คนดี ด้วยความอิจฉาริษยาอยู่เป็นประจำ
29 ม.ค. 2563 เวลา 15.47 น.
ดูทั้งหมด