ท้องฟ้าเหนือกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นควันต้อนรับต้นปี แหงนมองขึ้นไปแทบไม่เห็นสีฟ้า มองไปมองมามากๆ แสบตาด้วยอีกต่างหาก กระแสลมและฝนที่ตกลงมาช่วงก่อน แทบไม่ช่วยเบาบางความหนาแน่นของฝุ่นละออง แน่นอนว่า PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมายไปยังรัฐบาลให้เร่งหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน
สาเหตุหลักอย่างหนึ่งของฝุ่นควันในกรุงเทพมหานคร เกิดขึ้นจากการขับขี่ยวดยานพาหนะ มลพิษทางอากาศที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงของรถ ประกอบกับความกดอากาศที่ทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย ปัญหามลพิษที่เกิดจากยานพาหนะเป็นเรื่องที่หลายประเทศได้กำหนดมาตรการควบคุมอย่างชัดเจน ทั้งจ่าย ห้าม บังคับ จับและปรับ ถามว่าหากมีมาตรการเด็ดขาดประกาศขึ้นมาจริงๆ แบบนั้นบ้าง คนกรุงจะสามารถยอมรับและปฏิบัติตามเพื่อลดความสะดวกสบายของตัวเองกันได้มากน้อยแค่ไหน
มหานครอย่างกรุงลอนดอน ลอนดอนถูกเรียกว่าเป็น 'มหานคร' ไม่ใช่ในแง่ของขนาด แต่เพราะลอนดอนเป็นศูนย์กลางสำคัญทั้งทางธุรกิจ การเมือง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก เป็นศูนย์กลางราชการของประเทศ เป็นที่ตั้งของสำนักงาน ร้านค้าขนาดใหญ่ต่างๆ มากมาย บนพื้นที่เพียง 1572 ตารางกิโลเมตร มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่ราว 9 ล้านคน (ขนาดพื้นที่และจำนวนประชากรในกรุงเทพฯ 1,562 ตารางกิโลเมตร ประชากรราว 10 ล้านคน)
ด้วยสภาพพื้นที่ จำนวนประชากร ที่ยังไม่รวมนักท่องเที่ยว ลอนดอนกลายเป็นชุมชนเมืองหนาแน่นและมีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจำนวนจำกัด ทำให้ต้องพยายามแสวงหาแนวทางหรือมาตรการอำนวยประโยชน์ต่อทุกคน ทั้งผู้เดินทางทั่วไป ผู้จับจ่ายใช้สอย ผู้ที่มาติดต่อธุรกิจราชการ และนักท่องเที่ยว โดยแนวทางหรือมาตรการดังกล่าวต้องส่งผลดีต่อการจัดการพื้นที่ชุมชนเมืองในระยะยาว และคุ้มค่ากับผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตชาวลอนดอนและสิ่งแวดล้อมของมหานครลอนดอนที่ต้องสูญเสียไป
บทความเผยแพร่โดยสมาคมการผังเมืองไทย เรื่องค่าธรรมเนียมรถติดของมหานครลอนดอน โดย ดร.ปีติเทพ อยู่ยืนยง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และผู้เชี่ยวชาญในเครือข่ายนักวิชาการสถาบันการเติบโตอย่างชาญฉลาดประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษได้นำแนวคิดของ ศาสตราจารย์ Reuben Jacob Smeed นักสถิติการจราจรและนักวิจัยด้านการจราจรของอังกฤษ จากงานวิจัยเรื่อง 'Road Pricing: The Economic and Technical Possibilities" หรือ "Smeed Report' นำเสนอหลักการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้งานถนนในพื้นที่ชุมชนเมือง (road pricing) มาใช้กำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ด้านจราจรและสิ่งแวดล้อม เกิดเป็น 'โครงการ Central London Congestion Charging Scheme' หรือโครงการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดในมหานครลอนดอน
โดยรัฐบาลอังกฤษได้ทำการปฏิรูปกฎหมายบริหารจัดการผังเมืองและกฎหมายควบคุมการจราจรบนท้องถนน ได้แก่ กฎหมาย Road Traffic Reduction Act 1997 ให้อำนาจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจราจร ในการลดความแออัดของรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนท้องถนน กับ กฎหมาย Greater London Authority Act 1999 อำนาจแก่เทศบาลลอนดอนอันเป็นเทศบาลมหานครขนาดใหญ่ในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด แล้วนำเอาค่าธรรมเนียมจากการจัดเก็บมาบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมสาธารณะให้ดีขึ้น
มีการกำหนด 'London Inner Ring Road' หรือ 'พื้นที่ถนนวงแหวนชั้นในมหานครลอนดอน' ให้เป็นพื้นที่พิเศษที่มหานครลอนดอนมีอำนาจจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดได้ (จัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดระหว่างช่วงเวลา 7 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ซึ่งเป็นชั่วโมงเร่งด่วน ยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์ที่การจราจรเบาบางและวันหยุดราชการที่อนุโลมให้สามารถนำรถยนต์มาวิ่งได้)
สำหรับอัตราค่าธรรมเนียมในบริเวณ 'พื้นที่ถนนวงแหวนชั้นในมหานครลอนดอน' ต้องเสียค่าธรรมเนียมรถติด £11.50 หรือตกเป็นเงินไทยประมาณ 500บาทต่อวันหากไม่ได้นำรถโดยสารส่วนบุคคลออกจากพื้นที่ชุมชนเมืองก่อนเวลาต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนเงินถึง £130ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ลอนดอนก็มีขนส่งมวลชนทั้งรถไฟใต้ดิน รถราง รถไฟข้ามเมืองและรถโดยสารประจำทาง ครอบคลุมพื้นที่ เป็นตัวเลือกให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก
ค่าธรรมเนียมรถติดถูกนำมาใช้ครั้งแรกในประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ร่วมกับการเก็บค่าธรรมเนียมถนน (Road pricing) ในรูปแบบอื่นๆ เพื่อลดการใช้รถในตัวเมืองในช่วงเวลาเร่งด่วน ต่อมามีการนำมาใช้ในเมืองใหญ่ๆ ในอีกหลายประเทศ เช่น กรุงโรม ประเทศอิตาลี, กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน, กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และกรุงมิลาน ประเทศอิตาลี เป็นต้น
นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังมีการออกแบบระบบจำกัดจำนวนยานยนต์ (Certificate of Entitlement: COE) กล่าวคือ หากต้องการออกรถต้องยื่นประมูลเพื่อแจ้งความประสงค์ และจะมีสิทธิ์ครอบครองรถได้เป็น 10 ปีเท่านั้น ญี่ปุ่นก็ใช้มาตรการลักษณะเดียวกันเพื่อจำกัดจำนวนรถ ทำให้สิงคโปร์และญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ส่งออกรถยนต์มือสองเป็นดับต้นๆ ของโลก
หรือมาตรการของประเทศเกาหลีใต้ที่ไม่ได้พุ่งเป้าเฉพาะที่ผู้ขับขี่ยานยนต์เท่านั้น แต่มีคำสั่งให้โรงงานกว่า 100 แห่งลดชั่วโมงการผลิต และจำกัดการผลิตไฟฟ้าของโรงงานไฟฟ้า เป็นต้น รวมทั้ง จีนและอินเดีย ที่ฝุ่นละอองส่วนใหญ่มาจากโรงงานไฟฟ้าและโรงงานผลิตถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ก็ต้องกำหนดมาตรการควบคุมโรงงานเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน แต่เห็นได้ว่าการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ด้วยนโยบายต่างๆ ที่เป็นตัวอย่างเหล่านี้ล้วนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ที่ต้องยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวมด้วยเช่นเดียวกัน
ถามอีกครั้ง หากมีมาตรการบังคับให้จ่ายค่าธรรมเนียมการขับขี่รถยนต์แบบโซนนิ่ง จำกัดปริมาณรถที่ขึ้นทะเบียนมาแล้วเกิน 15-20 ปี การออกคำสั่งให้ลดกำลังการผลิตในโรงงานและอื่นๆ เราจะสามารถยอมรับและปฏิบัติตามเพื่อลดความสะดวกสบายของตัวเองกันได้มากน้อยแค่ไหน
คำตอบที่ได้เป็นตัวชี้วัดหนึ่งในระยะยาวว่ากรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจะสามารถผ่านวิกฤตฝุ่นควันนี้ไปได้หรือไม่
ที่มา : บทความนี้อยู่ในคอลัมน์ Go See It โดยวิภาวี เธียรลีลา ในเซ็คชั่นเสาร์สวัสดี ฉบับวันที่ 18 มกราคม 2563
Comcomm Yamyam จะจัดเก็บเงินแบบนั้นถามหน่อย และสภาพอสกาศมันจะดีเหรอ หรือ ตั้งออกมาเพืรอจะหาเงิจเข้ากระเป๋า ขนาดงบที่เห็นอยู่แม่งยังกินกันขนาดนี้
18 ม.ค. 2563 เวลา 05.52 น.
preecha รัฐบาลจะเก็บภาษีลูกเดียว หากินง่ายมาก
แต่ไม่ได้แก้ปัญหาฝุ่นเลยซักนิด
เจ้าหน้าที่ ว่างๆไปดูตามตลาดที่โล่งๆ
ร้านรถเข็นขายไก่ย่าง หมูปิ้ง ตับปิ้งซิว่า
วันๆปิ้งควันโขมงขายกี่ชั่วโมง
แล้วมันอยู่เฉยๆ ไม่เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนเหมือนรถยนต์ คนแถวนั้นต้องทนดมควัน + ฝุ่นพิษมี่ลอยจากที่อื่นมาผสมกันวันละกี่ชั่วโมง ทำไมไม่ไปจัดการที่ต้นเหตุ
18 ม.ค. 2563 เวลา 05.02 น.
yoohoo ก็แล้วเมืองไทยทำไมยังไม่เก็บค่าเข้าเมืองซะทีละ
กรมขนส่งก็ควรจะตรวจเข้มรถควันดำ รถเก่าเกินไปที่จะค่อทะเบียนให้เข้มงวดมากกว่านี้ โดยเฉพาะรถเมล์ก็ควันดำเยอะมากทุกคัน ไม่เห็นมันจะลดน้อยลงไปเลย ทุกองค์กร
ควรจะต้องมาคุยกันเรื่องนี้และลงมือทำอย่างจริงจังได้แล้ว
ปชชทุกคนกำลังเดือดร้อน โดยเฉพาะคนจนไม่มีรถขับ คนที่ต้องนั่งรถเมล์
18 ม.ค. 2563 เวลา 04.52 น.
ช้างเสาชิงช้า มีแต่พวกแก้ผ้าโรยผักชีทั้งนั้น แก้ตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ!!
18 ม.ค. 2563 เวลา 03.45 น.
Hajic ลำปางกับแพร่รถเยอะแบบ กทม.เหรอครับ ฝุ่นก็หนักพอกัน
อย่าโทษแต่รถยนต์ครับ การก่อสร้างใน กทม.นี่ไม่เกิดฝุ่นรึไง ทุบตึกเก่าทีนี่ไม่มีฝุ่นรึไง ปิ้งย่างตามข้างทางอีกหละไม่มีฝุ่นรึไง
กทม.รถไม่ได้เพิ่งเยอะปี2ปีนี้ มันเยอะมาตั้งแต่ไหนแต่รเเล้ว ทำไมเพิ่งเกิดฝุ่น2.5แบบตอนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะฝุ่นจากแหล่งอื่นอีก
18 ม.ค. 2563 เวลา 03.29 น.
ดูทั้งหมด