ไลฟ์สไตล์

พักเรื่องบาปบุญไว้ มองการทำแท้งอย่างปลอดภัยคือเรื่องจำเป็น : คุยเรื่องการทำแท้งกับหมอสูติฯ

INTERVIEW TODAY
เผยแพร่ 10 ก.พ. 2564 เวลา 17.00 น. • nawa.

‘ทำแท้ง’ เป็นเรื่องที่สังคมไทยถกเถียงและตั้งคำถามกันมาอย่างยาวนานมาก บ้างก็ว่าเป็นเรื่องของบาป บ้างก็ว่าเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต บ้างก็ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างมากในเมืองพุทธแบบบ้านเรา แต่ก็มีมุมมองโต้แย้งในอีกมิติหนึ่งเช่นกันว่า ในเมื่อใครสักคนตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ ไม่ว่าจะไม่พร้อมจากปัจจัยอะไรก็ตาม คนเหล่านี้ควรมีสิทธิ์ได้รับการยุติการตั้งครรภ์มิใช่หรือ

ข่าวคราวล่าสุดของประเด็นนี้คือ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2564 โดยอนุญาตให้หญิงที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์สามารถทำแท้งได้ ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างอื้ออึงอีกครั้ง ท่ามกลางกระแสหลาย ๆ ด้าน ยังมีมุมมองของแพทย์ผู้เกี่ยวข้องกับการทำแท้งโดยตรงบอกว่า 'ทำแท้งก็คือการรักษาชีวิตคนไข้ เป็นหมอก็ต้องรักษาคน'

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

INTERVIEW TODAY สัปดาห์นี้ ชวนคุยเรื่องการทำแท้งอย่างปลอดภัยกับ ‘คุณหมอแป๊ะ’ ผศ.นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ อาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อตอกย้ำมุมมองที่ว่า การทำแท้งอย่างปลอดภัยคือเรื่องจำเป็น

‘ผมเป็นตัวร้ายในแวดวงการแพทย์ครับ’

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

แค่คำตอบแรกก็น่าสนใจแล้ว เมื่อเราตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำแท้งในแวดวงหมอไทย

'เรื่องทำแท้งมีหมออยู่ 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรก็ไม่สามารถยุติการตั้งครรภ์ให้กับคนไข้ได้เลย มันเป็นความเชื่อครับพวกเราถูกสอนมาเยอะเรื่องของบาปบุญคุณโทษ การชดใช้กรรม เรื่องผีเรื่องอะไรเนี่ย มันโดนหล่อหลอมมาจากสังคมวัฒนธรรมและครอบครัวเยอะ

หมออีกกลุ่มนึงคือกลุ่มที่ไม่สนใจอะไรเลย ก็คือลงมือทำ โดยคำว่าทำในที่นี้หมายความว่า การทำนั้นต้องเกิดขึ้นเพื่อให้บริการกับคนตั้งท้องนะครับ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

และอีกกลุ่มนึงก็คือกลุ่มที่ทำตามความจำเป็นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของมารดา คือการตั้งท้องที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อร่างกายของผู้หญิง เช่น คนที่เป็นโรคหัวใจ เมื่อตั้งท้องถึงจุดนึงหัวใจจะรับภาระไม่ไหว อาจเสียชีวิตจากหัวใจวายได้

ขอแถมหมออีกกลุ่มนึงก็คือ คนที่ไม่คิดไม่เห็นไม่รู้ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น อย่าถามเลยเรื่องทำแท้ง ไม่กล้าแตะต้อง พูดถึงเรื่องทำแท้งนั้น หมอกลุ่มนี้จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้'

แล้วคุณหมอแป๊ะเป็นหมอกลุ่มไหน

'สมัยก่อนผมเป็นหมอกลุ่มแรก ก็คือไม่เข้าใจว่าการทำแท้งมีบริบทอะไรบ้าง พอมาเรียนสูตินรีเวชผมกลายเป็นคนกลุ่มที่ 3 หมายความว่า เราให้บริการในแม่ที่มีปัญหา อย่าลืมว่าผู้หญิงที่ตั้งใจจะท้องแต่ท้องไม่ได้มันมีจริง ๆ นะครับ นอกจากจะมีปัญหาสุขภาพของมารดาแล้ว เราจะเจอเด็กทารกกลุ่มที่มีความผิดปกติ คือหมอสูตินรีเวชมีหน้าที่ในการตรวจครรภ์เพื่อค้นหาความเสี่ยงของคนไข้ และความเสี่ยงหนึ่งในนั้นก็คือความเสี่ยงของทารกที่อาจมีความพิการได้ ฉะนั้นเรากลายเป็นผู้เสาะหาความพิการให้กับเด็กในท้องเองนะ เข้าใจความหมายใช่ไหม คือเขาตั้งท้องเอง แต่จริง ๆ การวินิจฉัยมันมาจากเราที่เป็นหมอ เพราะฉะนั้นเราเป็นคนมอบความพิการให้กับคนไข้ ถ้าเกิดว่าหมอหาโรคให้เขาแล้ว แต่ไม่ให้บริการยุติการตั้งครรภ์ ผมจะต้องเป็นหมอที่ใจร้ายมาก'

'แต่พอเราใช้ชีวิตในการเป็นสูตินรีแพทย์อยู่สักระยะหนึ่งก็พบว่า ความตายและความพิการจากการทำแท้งเถื่อน มันมีอยู่จริง ในชั่วชีวิตการเป็นหมอ เราเจอเคสที่มีความพิการเกิดขึ้น เราเจอเด็กที่ถูกเรากระทำย่ำยี ซ้ำร้ายเราเป็นผู้กระทำย่ำยีคนไข้อีก คือเราให้บริการด้วยจิตใจที่โกรธ รู้สึกหงุดหงิด รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีที่เขาไปทำแท้งเถื่อนมา บางคนต้องสูญเสียมดลูกแทนที่เขาจะมีลูกได้ในอนาคต เรากลับต้องตัดมดลูกเข้าทิ้งออกไปซะ นี่คือความพิการและความบาดเจ็บที่มันเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ กระบวนการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยโดยมือของสูตินรีแพทย์มันทำง่ายมากเลยนะครับ ไม่ใช่ทำใจง่ายมากนะครับ แต่ในทางปฏิบัติมันทำได้ง่ายมาก เพียงแต่เราเลือกที่จะไม่รักษาเขา ตรงนี้น่าเสียดายมากครับ'

'เรากลับมาถามตัวเองว่าเราจะเห็นคนตายไปอีกสักกี่คน แล้วต้องเห็นคนบาดเจ็บไปอีกสักกี่คน พอให้คำตอบกับตัวเองได้ มันก็เหมือนกับว่าเราหลุดจากพันธนาการ จากนั้นเราก็เผยแพร่ความเข้าใจให้กับลูกศิษย์ ให้กับเพื่อนร่วมงานและให้กับสังคมว่า เราทำแท้งนะ เราทำแท้งเพื่ออะไร'

เราอยู่ในสังคมที่เป็นไทยพุทธ เรื่องบาปบุญคุณโทษ อาชญากรรม นั่นแปลว่าเราต้องโดนตั้งคำถามเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ ว่าสิ่งที่เราทำมันถูกจริงไหม แล้วคุณหมอเอาชนะเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร

'ก็เราชอบพูดกันไปเองไง จริง ๆ เวลาตั้งท้องไม่พร้อมน่ะมันไม่มีศาสนาหรอกครับ มันไม่ได้แบ่งแยกศาสนาเลย คนพุทธท้องไม่พร้อมก็มี คนมุสลิมท้องไม่พร้อมก็ได้ ชาวคริสต์ท้องไม่พร้อมก็มี ฉะนั้นการตั้งท้องไม่พร้อมมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศาสนาครับ แต่ถ้าพูดในแง่มุมของศาสนาแล้วเนี่ย มองผ่าน ๆ ทุกศาสนาไม่อยากให้เราทำแท้งหรอกนะครับ เขาบอกว่าการทำแท้งมันเป็นบาปทั้งนั้นแหละ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมันเป็นบาปทั้งนั้นครับ แต่มันเป็นบริบทของการที่เอาตัวคำสอนมาใช้โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องของความอยู่รอดมากกว่า'

'ผมแคร์ชีวิตเด็ก แคร์ชีวิตที่มันจะเกิดขึ้นในมดลูกในอีก 8 เดือนข้างหน้า แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นถ้าเราไม่แคร์ตรงนี้แล้วแม่เขาไปหาวิธีใดก็ตามที่ทำให้ลูกเขาออกมาก่อนวัยอันควร ถ้าเกิดแม่เขาตายขึ้นมาล่ะ ถามว่าเราฆ่าแม่เขาหรือเปล่า คำตอบคือเราไม่ได้ฆ่าแม่เขา เราไม่ได้ฆ่าผู้หญิงคนนั้นเลย แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเกิดจากเราไม่ได้ให้บริการเขาหรือเปล่า เราลืมถามคำถามนี้ไปครับ เราปัดความรับผิดชอบและความรู้สึกผิดนั้นไปให้คนไข้ แล้วคนไข้ก็เข้ามาหาเราด้วยเรื่องของความเจ็บปวดและความทรมาน ถ้าเราไม่ได้คิดอะไรมากก็อยู่ได้ครับ สังคมอยู่ได้ครับ ไม่มีหมอทำแท้งในสังคม สังคมก็อยู่ได้ครับ อย่าลืมว่าเรามีคนตายเรื่อย ๆ เหมือนเกิดอุบัติเหตุตายทุกวันทำนองนั้นครับ แต่จริงๆ เทคโนโลยีในมือเรา ความรู้ความชำนาญวิชาชีพในมือเรา ถ้าเราไม่ให้บริการหรือไม่ช่วยคน ที่เรียนมามันก็สูญเปล่าครับถูกไหมครับ'

เวลาคุณหมอเจอเคสที่คุณแม่มาขอรับบริการ คุณหมอตัดความรู้สึกผิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีออกจากการรักษาได้ยังไง

'ในมุมมองผม การกระทำทุกอย่างผมเชื่อมีผมมีเจตนาทำเพื่อช่วยเหลือคน และผมก็ไม่คิดว่าการผิดบาปจะมาจากตรงไหน คือถามว่าบาปไหมก็บาปนะ แต่ผมอาจจะโดนดีไซน์มาให้เป็นคนทำแท้งแล้วผู้หญิงคนนี้สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ มันก็คงจะเป็นบาปแหละ ถ้าเป็นหมอแล้วไม่คิดกลัวเรื่องบาปบุญแบบนี้ก็ลำบากเช่นกันครับ เวลาเรารักษาคนไข้ท้องนอกมดลูก ท้ายที่สุดมันก็ต้องตัดท่อนำไข่นั้นออกมา และทำให้ตัวอ่อนตายอยู่ดี เพื่อคุณแม่จะได้อยู่ได้ บางคนเราผ่าตัดเร็วมากตัวอ่อนยังตายไม่ทัน หัวใจยังเต้นอยู่เลย ต้องถามว่าตอนนั้นเรารู้สึกบาปไหม ตอบยากมากเลยนะครับ แต่กับการทำแท้งเนี่ย ตัวอ่อนอาจจะเล็กกว่านั้นอีก การบาดเจ็บน้อยกว่านี้อีก ไม่มีการดมยาสลบ ไม่มีการผ่าท้องเลยด้วยซ้ำ แต่เรากลับให้คุณค่ากับการทำแท้งไปกับเรื่องบาปบุญคุณโทษนั้นเยอะ จนมันเยอะไปกว่าเรื่องอื่น'

'ผมใช้ชีวิตการเป็นหมอทำแท้งผ่านมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผมพบว่าผู้หญิงที่มาทำแท้งนั้นก็ไม่ได้มีความสุขที่จะทำให้ลูกตัวเองออกมานะ เราชอบพูดกันว่าผู้หญิงที่ทำแท้งแบบทำซ้ำทำซากเป็นผู้หญิงเลว แต่ผู้ชายกลับไม่เลวเลย ผู้ชายลอยตัวตลอดเลยผู้หญิงกลายเป็นคนเลวเสมอ'

'แต่รู้ไหมครับว่าผู้หญิงเองเขาก็ไม่ได้มีความสุขในการทำแท้งลูกหรอก เพียงแต่ว่าการมีลูกอีก 1 คนนั้นมันทำให้ชีวิตเขาอยู่ไม่ได้ ในบางครั้งเขาก็คิดไปไกลกว่านั้นเขาคิดไปไกลว่าลูกที่เหลืออยู่ล่ะ ครอบครัวนั้นอาจจะอยู่ไม่ได้ถ้ามีลูกเพิ่มอีก 1 คน หรือคิดไกลไปกว่านั้นอีกก็คือลูกที่อุตส่าห์เกิดมานั้น ถ้าหากเขาเติบโตและคลอดออกมา ลูกคนนี้ก็อยู่ได้ไม่ดีอยู่ได้ไม่สบายเท่าพี่ ๆ ของเขา งั้นลูกอย่าเพิ่งออกมาเลย ผมว่าอันนี้มันเป็นความรู้สึกของแม่ที่ลึกซึ้งมากนะครับ อันนี้มันเป็นสัญชาตญาณความเป็นแม่ เพียงแต่คนภายนอกจะมองไม่เห็น ที่เราเห็นกันมักจะมองว่านี่คือการทำชั่ว เพราะเขามองมิติเดียว อย่าลืมนะครับว่า ไม่มีใครต้องการจะท้องเพื่อทำแท้ง แล้วก็ไม่มีใครมีความสุขในการทำร้ายลูก ยกเว้นเป็นโรคจิตครับ'

ภาพโดย Shaun F by Pixabay

มีเคสไหนที่ผ่านมาของคุณหมอที่คิดว่า เราทำถูกแล้วที่ช่วยเหลือคนไข้ ด้วยการยุติตั้งครรภ์ เป็นเรื่องที่เหมาะสม ณ เวลานั้นที่สุดแล้ว

'ทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมาเราก็มานั่งทำใจเราเหมือนกันในการรักษาคนไข้แต่ละคน มันก็มีผลกระทบต่อจิตใจเรานะครับ เอาง่าย ๆ ก็คือว่า ถ้าเราทำแท้งให้กับผู้หญิงคนนึงที่เขามีความทุกข์ เมื่อเราจัดการทุกอย่างให้เขาเสร็จหมดแล้ว และชีวิตเขาเดินต่อไปได้แล้ว เขากลายเป็นคนละคนกับวันที่มาหาเราวันนั้นเลย ที่ผ่านมาเขามีความผิดพลาดเกิดขึ้นก็เท่านั้นเอง'

'บริการยุติการตั้งครรภ์โดยแพทย์ต้องอธิบายก่อนว่า การเข้าสู่บริการทำแท้งมันไม่ได้เริ่มต้นด้วยว่าเราจะจัดการด้วยวิธีไหน แต่การให้บริการทำอย่างแท้งปลอดภัยมันเริ่มต้นที่เรารับฟังว่าปัญหาของเขาคืออะไร เราจะช่วยเขาได้ไหม และให้เขาสามารถเห็นมุมมองว่า เออมันมีทางเลือกจริง ๆ เพราะบางทีมันเป็นทุกข์ที่ไม่สามารถมองเห็นทางออกได้เลย การนั่งคุยมันทำให้หลาย ๆ คนสามารถจัดการชีวิตต่อไปได้'

'แล้วในชีวิตของผม มีคนที่เข้ามาเพื่อจะขอทำแท้งและกลับไปโดยสภาพพร้อมที่จะตั้งท้องแล้วเขาก็มีลูกต่อด้วยความเต็มใจก็มีครับ ไม่ได้จบด้วยการทำแท้งทุกรายหรอกครับ คนที่สามารถคลอดลูกออกมาเป็นเด็กวิ่งเล่นได้ใช้ชีวิตเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ก็มีไม่น้อยเหมือนกันครับ'

คนไข้ที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตคุณหมอ

'จริง ๆ จุดเปลี่ยนมันเกิดทุกวันทุกวินาทีครับ มันไม่ได้เปลี่ยนที่ผม ก็เปลี่ยนที่ลูกศิษย์ผม ถ้าลูกศิษย์มานั่งดูกระบวนการเขาอาจจะเปลี่ยนใจได้ ถ้าเราเห็นกระบวนการทำ เมื่อก่อนมันก็น่ากลัว แต่เดี๋ยวนี้มันง่ายที่สุดเลยครับ คือมันแค่กินยากับสอดยาแล้วทุกอย่างก็จัดการจบ เทคโนโลยีมันมีอยู่ในมือนะครับ สมัยก่อนที่ยังไม่มีเทคโนโลยีแบบนี้เราเจอความสูญเสียครับ การเสียชีวิตนั่นแหละครับคือจุดเปลี่ยน'

'ผมเคยเจอเคสหญิงพิการตั้งท้องแล้วต้องการทำแท้ง ปรากฏว่าผู้ใหญ่ระดับสูงไม่ให้ทำแท้งเพราะผิดหลักศาสนา ผมก็เลยบอกว่า ผมขอรับเคสคนไข้เอง ผมจะทำแท้งให้ คนไข้เป็นคนตาบอดและหูหนวก เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง นี่แหละครับ หากยังมีหมอแบบนี้อยู่ คนไข้ก็จะถูกทำร้ายไปเรื่อย ๆ ผู้หญิงก็จะถูกเซ่นไหว้ด้วยความดีอยู่เรื่อย ๆ ครับ'

คุณหมอคิดอย่างไรกับคำพูดที่ว่า ถ้าปล่อยให้มีการทำแท้งเสรี ปล่อยให้มีการทำแท้งปลอดภัย คนก็มีเซ็กส์โดยไม่คุมกำเนิดน่ะสิ

'เราชอบคิดไปเองไง เราน่ะคิดกันไปเองโดยใช้ความรู้สึกส่วนตัว กระบวนการการทำแท้งที่สามารถเข้าถึงได้นั้น มันต้องประกอบไปด้วยการคุย, การหาทางออก, การทำแท้ง และการให้การดูแลหลังแท้ง ซึ่งองค์ประกอบใหญ่ ๆ ตรงนี้คือการแสวงหาทางออก หรือมอบทางเลือกที่ทำให้เขา อีกอย่างคือ กระบวนการที่เหมาะสมเช่นนี้มันทำให้คนไม่แท้งซ้ำครับ'

'ในงานวิจัยทั้งโลกพบว่าการให้บริการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย ไม่ได้ทำให้คนทำแท้งเพิ่มมากขึ้นเลย แม้แต่ในยุโรปที่มีการให้บริการทำแท้งดี ๆ จำนวนคนทำแท้งก็ไม่ได้มากขึ้นครับ แต่คนตายน้อยลงแน่นอนครับ ตอนนี้คนตายน้อยลงเยอะมากเพราะเทคโนโลยีมันดีมากเลย มาอย่างเดียวแค่ตกเลือด หมอสูติรักษาแป๊บเดียวก็เสร็จครับ'

การทำแท้งแบบปลอดภัยไม่ใช่การทำแท้งเสรี

'ต้องอธิบายก่อนว่าการทำแท้งเสรีจะไม่มีตามโรงพยาบาล เพราะการทำแท้งเสรีหมายความว่ามาถึงก็ทำเลยขึ้นขาหยั่งทำเลย มันอันตรายมาก แต่การทำแท้งตามปกติที่เราให้บริการอย่างถูกต้องนั้นมันจะไม่เกิน 24 สัปดาห์ เป็นการทำแท้งแบบปลอดภัยครับ'

'ที่สำคัญอย่าคิดไปเอง เวลาเราพูดเราก็พูดเอาสนุก พูดจาแดกดัน คนมาทำแท้งบ่อย ๆ เป็นเด็กไม่ดี เป็นผู้หญิงเลว แต่เอาเข้าจริงเนี่ย ชีวิตผมเคยเจอเคสแบบนี้สักครั้งสองครั้งในชีวิตเท่านั้นเอง เขาก็เหมือนกันเรา เป็นลูกมีพ่อมีแม่ ต่อให้เลวทรามยังไงเขาก็มีคนที่รักเขาอยู่'

'บอกเลยว่ามีคนตาย 1 คน ผมไม่ได้สูงขึ้นเลยนะ เพราะผมไม่ได้สูญเสียไง แต่คนที่สูญเสียเนี่ยชีวิตพวกเขาน่าสงสารมาก ถ้าเราไปเห็นครอบครัวเห็นลูกเห็นสามีของเขา พ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงเขามันคือความสูญเสีย คือคนคนหนึ่งที่ควรจะต้องอยู่กับเขาต่อไป แต่เขาไม่ได้อยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วยาแค่กล่องเดียวมันทำให้เขาอิสระได้ กลับกันอย่างที่บอกว่าไม่มีผู้ชายโดนด่าเลยครับ บางทีคนแท้งตาย เขาเรียกว่าตายอย่างโดดเดี่ยวจริง ๆ นะครับ โดดเดี่ยวและเดียวดาย'

ในมุมมองคุณหมอ จะบอกสังคมยังไงว่าการทำแท้งที่ปลอดภัยคือเรื่องจำเป็น

'จริง ๆ มีคนพูดแบบผมเยอะแยะนะครับ เราจะเข้าใจเมื่อวันที่เราเองเป็นคนท้องแล้วไม่พร้อมว่ามันจะรู้สึกยังไง หรือมันเกิดกับคนใกล้ตัวเรา ตั้งท้องขึ้นมาแล้วเขาไม่ต้องการที่จะมีการตั้งท้อง ตรงนั้นแหละเราจะเข้าใจว่าสิ่งที่เราพูดว่ามันเป็นความจริง บางทีเราก็ชอบแถว่า ถ้าเป็นเราเราจะเลี้ยงไง เพราะฉะนั้นพูดไปก็แค่นั้นครับ ทุกวันนี้สังคมมีความเปิดรับมากขึ้นเยอะครับ ผมเองเนี่ยสัมภาษณ์นักเรียนแพทย์ที่เข้ามา เด็กยุคใหม่กับเด็กสมัยก่อนมีความคิดต่อเรื่องของการทำแท้งเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากครับ อนาคตข้างหน้าเด็กจะเข้าใจความเป็นเจ้าของร่างกาย ความมีสิทธิเหนือร่างกายของตัวเอง คือเราเป็นผู้หญิง ทำไมผู้ชายชอบมายุ่งกับร่างกายผู้หญิงวะ คือท้องก็ตั้งท้องอ่ะทำไมถึงไม่ปล่อยให้เขาคิดเอง คือเราไปยุ่งกับเขาตลอดเลย เด็กยุคใหม่จะตระหนักถึงสิทธิบนเรือนร่างของตัวเองเยอะกว่าเด็กสมัยก่อน'

'เราอยู่ด้วยเหตุผลและความคิดวิจารณญาณที่มากกว่าความเชื่อของตัวเอง ยิ่งตอนนี้กฎหมายทำแท้งที่จะออกมาจากนี้ไปมีความทันสมัยมากเลยนะครับ กฎหมายในสมัยก่อน 60 กว่าปีที่แล้วมันล้าหลังมาก ด้วยความเข้มงวดนั้นเราพบว่าจะมีผู้หญิงจำนวนหนึ่งต้องตายเพื่อเซ่นไหว้กฎหมายเยอะนะครับ'

'ในขณะที่การทำแท้งอย่างปลอดภัยอัตราการเสียชีวิตหรือการบาดเจ็บน้อยลงเป็นร้อยเท่าเลยครับเมื่อเทียบกับการทำแท้งที่ผิดวิธีนะครับ ลดลงเยอะมาก ๆ ครับ พูดถึงโรมาเนียเมื่อเขาเปิดกว้างให้สามารถเข้าถึงการบริการ การทำแท้งก็ลดลงเยอะเลย มันเลยเป็นตัวพิสูจน์ที่ดีว่าการเปิดให้มีบริการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย จะทำให้ผู้หญิงปลอดภัยมากขึ้นได้ครับ..'

สุดท้ายแล้วไม่ว่าการทำแท้งอย่างปลอดภัยในบ้านเมืองเราจะลงเอยอย่างไรก็ตาม แต่การได้เห็นความพยายามขับเคลื่อน การถกเถียงอย่างมีเหตุผล ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าสังคมตื่นตัวมากขึ้นกว่าอดีต ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีเลยล่ะค่ะ

.

ขอบคุณข้อมูลจาก

-waymagazine.org

-www.bbc.com/thai

ความเห็น 103
  • 🔴⭕🔴⭕🔴⭕🔴⭕🔴⭕ รับด่วน!! เรียนหรือทำงานสามารถทำคู่กันได้ เป็นงาuรับออเดอร์ ตอuแชท ตอuไลน์ลูกค้า รายได้อาทิตย์ละ 3-4 พัuบาท รัUอายุ 20 ปีขึ้นไป สuใจงาuแอo Line ID : @489evmfv (ใส่ @ ด้วยครัu)
    30 มี.ค. 2564 เวลา 08.11 น.
  • sri
    เราเคยฟัง ธรรมะ นะ คนถูกข่มขืน แล้วท้อง ถ้าผู้ชาย รับผิดชอบลูกในท้อง แต่งงาน อนาคต จะอยู่ยืด ค่อยว่ากัน แต่ถึงไม่รับผิดชอบ เมื่อท้อง เด็กเกิดมาจะสมบูรณ์ จะพิการ ต้องยอมรับ ว่า ตัวคนเป็นแม่ กับลูก หรือ ผํ้ชาย ต้องเคยมีเวรกรรมต่อกัน ชาตินี้ มาชดใช้เด็กมามาเกิด ถ้าอยากให้ลูก แข็งแรง ฉลาด คนเป็นแม่ ต้องสวดมนต์ ตั้งแต่รู้ว่า ท้อง เพื่อว่า บุญกุศล นำพา วิญญาณที่มาเกิด มาจากที่สูง เช่น เป็นเทพ แล้ว สอนลูกสวดมนต์ ตั้งแต่เล็ก สอนให้เป็นคนดี / ทั้งหมอ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำแท้ง รับวิบากกรรมก่อน/หลังต
    07 มี.ค. 2564 เวลา 00.44 น.
  • ✈️✈️🛩️🛩️🚁🚁🚀✈️✈️🛩️🛩️🚁🚁✈️✈️🚁🚁🚀✈️✈️
    หรอกครับ ที่เคยเห็นๆสัมผัส เป็นพวกย่ายายที่พอมีหน้าในสังคมที่จะจัดการปัญหาเหล่านี้ นอกๆนั้น ทัองแล้วก็คลอดกันไป ถึงฤดูใหม่ก็ท้องอีกกับอีกคน ก็ทัองใหม่ ผู้ชายที่ทำให้ทัองคนเเรกก็ไปมีคนใหม่ 15-16เปลี่ยนๆกันไป พ่อใหม่แม่ใหม่ วนท้องวนคลอดอีก3-4ทัอง ตอนนี้ แต่ไม่ควรมองข้ามช้อตไปถึงเรื่องทำแท้งปลอดภัย คิดง่ายๆอยู่ง่ายๆเกินไป บางทีก็เป็นดาบ2คม
    07 มี.ค. 2564 เวลา 00.14 น.
  • sri
    ถ้า เป็นโรคหัวใจก็ไม่ควรแต่งงาน เพราะ มีคู่ มีโอกาสมีลูก ในขณะร่างกายแม่มีปัญหา แต่ถ้า เคส ผู้หญิง ติดเชื้อกามโรค และมีผล กับลูกในท้อง ว่า เกิดมาพิการแน่ น่าลองปรึกษาหมอ ในทางธรรม ยังถือว่า บาป อยู่ดี เป็นกรรชดใช้เวรกรรม ที่มีต่อเด็ก ต่อ ผู้ ก่อเหตุ เช่น ชาติที่แล้ว เคย จองเวรกันมา
    07 มี.ค. 2564 เวลา 00.03 น.
  • T.cho
    เห็นด้วยครับ สตรีที่ไม่มีความพร้อมจะรับผิดชอบ จะปล่อยให้เขามีบุตรตามมีตามเกิด นอกจากทำร้ายเขาแล้วยังทำร้ายสังคมด้วย อย่าอ้างศีลธรรมครับ เพราะเราไม่ได้รับผิดชอบแทนเขา ไม่ได้หมายถึงความพร้อมทางฐานะอย่างเดียวนะครับ การจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคมต้องใช้ทั้งความรักเมตตา ความเข้าใจและสถานะการเลี้ยงดู ไม่ใช่ปล่อยให้มีแล้วเลี้ยงแบบตามมีตามเกิด แล้วกลายเป็นภาระหรือภัยสังคมในภายหลัง
    06 มี.ค. 2564 เวลา 23.58 น.
ดูทั้งหมด