วันที่ 24 มกราคม 2562 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และประธานคณะกรรมรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคไทยรักษาชาติ ได้โพสต์ข้อความในลงเฟซบุ๊กสาธารณะภายหลังที่เมื่อวานนี้ ได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งและในช่วงบ่าย ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกมาแถลงข่าวถึงกำหนดการและประกาศให้ 24 มีนาคม 22562 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า หลายคนดีใจ รู้สึกว่าประเทศไทยมีความหวัง หลังมีประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งและกกต.แถลงกำหนดวันลงคะแนนเป็นวันที่ 24 มีนาคม 2562 ทันที
ก่อนจะคิดกว้าง มองไกล ไปกว่านี้ ขอชวนย้อนอดีตเพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการก้าวไปข้างหน้า
ในห้วงเวลาของความขัดแย้งทางการเมือง เราเคยมีการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภากำหนดวันเลือกตั้ง 2 ครั้ง ซึ่งปลายทางไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอำนาจเผด็จการ
24 กุมภาพันธ์ 2549 รัฐบาลทักษิณประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภา กำหนดวันเลือกตั้ง 2 เมษายน
9 ธันวาคม 2556 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภา กำหนดวันเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557
ทั้ง 2 ครั้งอยู่ในสถานการณ์ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของมวลชนฝ่ายหนึ่ง ขณะที่อีกฝ่ายให้การสนับสนุน ประวัติศาสตร์ฉายซ้ำที่คนส่วนใหญ่ยังจำได้ คือ พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลประกาศบอยคอตการเลือกตั้ง มีความเคลื่อนไหวหลายด้านสมคบคิดสัมพันธ์กัน จนการเลือกตั้งเป็นโมฆะแล้วจบลงที่การรัฐประหาร
ในโลกของความเป็นจริง การมีวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจึงไม่ใช่หลักประกันอันใดเลย หากขบวนการขัดขวางล้มการเลือกตั้งยังขับเคลื่อน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าถึงปัจจุบันยังมีความพยายามของคนกลุ่มนี้
2 ครั้งที่เป็นโมฆะ รัฐบาลรักษาการอยู่ในสภาพบอบช้ำทางการเมือง อำนาจที่กฎหมายให้ไว้อย่างจำกัดถูกกำจัดแทบหมดสิ้นจากอำนาจนอกระบบที่มีอิทธิพลมากกว่า แม้พยายามอย่างที่สุดให้ทุกอย่างเดินไปข้างหน้า แต่ก็เกินกำลังที่จะปกป้องการเลือกตั้งไว้ได้
ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับรัฐบาลนี้ที่มีอำนาจไม่จำกัด ออกกติกาเอง ปลดกรรมการได้ จะยกเลิกการเลือกตั้งเสียก็ได้ และผู้นำรัฐบาลเตรียมจะเป็นผู้เล่นในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรีอย่างที่รู้กันมาตลอด
แต่หากลึกสุดใจของผู้มีอำนาจคือไม่อยากเลือกตั้ง สิ่งเดียวที่จะมีพลังผลักดันการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นได้จริงและสำเร็จราบรื่น คือ การสรุปบทเรียนร่วมกันของสังคมไทยว่าการปฏิเสธกลไกของระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่ทางออกของประเทศ ถึงที่สุดการหาข้อยุติของความขัดแย้งก็ยังต้องกลับมาที่การเลือกตั้ง
หวังใจเป็นที่สุดว่าขบวนการล้มเลือกตั้งซึ่งยังมีอยู่จะอ่อนกำลังลง พรรคการเมืองและนักการเมืองที่ชักแถวกันออกมาแสดงความพร้อมจะไม่บอยคอต ไม่ขัดขวาง
แม้กติกานี้จะยิ่งกว่าอัปลักษณ์แต่ก็เป็นทางออกเดียวที่จะนำพาบ้านเมืองกลับสู่ประชาธิปไตยโดยสันติ ถึงจะเสียเปรียบหรือเสี่ยงจะพ่ายแพ้ฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องลงสนามสู้ แพ้ชนะอยู่ที่ประชาชน แต่ถ้าไม่มีเลือกตั้งประเทศไทยจะแพ้และเสียหายไม่สิ้นสุด
คำว่า”เลือกตั้ง” ต้องไม่พร่าเลือนเลื่อนลอยเหมือนคำว่า “ปรองดอง” หรือ “ปฏิรูป”
ถ้าวันเลือกตั้งไม่ใช่การคืนอำนาจให้ประชาชน แต่หมายถึงวันเวียนเทียนอำนาจเพื่ออยู่ต่อของคนบางกลุ่ม
24 มีนาคม ก็ต้องไม่หมายถึงแค่วันลงคะแนน แต่คือวันลงจากอำนาจของเผด็จการ
lek กูนึกถึงตลอดเวลาที่พวกมึงเผาบ้านเผาเมือง
และตอนที่มึงตอบคำถามนักข่าวไม่ได้มึงติดอ่าง
ไง ไอ้ขี้เรื้อนกินหัว
24 ม.ค. 2562 เวลา 04.58 น.
J.panma ทำไมต้องรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ อดีตที่ป่าน เดินหน้าสู่อนาคตที่เค้าตั้งกฎมาใหม่ดิ ไม่ลองก้อไม่รู้ วังวลอยู่กับอดีต เบื่อไอ้พวกนี้จิงๆ พรรคอื่นด้วยมีจำพวกนี้ ไม่ต้องเลือกมัน
24 ม.ค. 2562 เวลา 05.05 น.
Kanitta (Tak) 🎆 เพ้อนะมึง มาปั่นหัวปั่นกระแสชาวบ้านอยู่ได้
24 ม.ค. 2562 เวลา 04.52 น.
Marie ย้อนซะไกล แล้วข้ามบางเหตุการณ์ไปนะ ก็พวกแกงัยที่อาศัยเสียงข้างมากในสภาลักไก่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ทักษิณ และนี่แหล่ะคือประชาธิปไตยที่แท้จริงเพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาเผด็จการรัฐสภาแบบพวกแกงัย โดนตบหน้าฉาดใหญ่ จนป่านนี้ทักษิณยังไม่ได้กลับมาแถมน้องสาวอีกคนต้องระเห็จตามไปด้วย วันที่ 24 มีนานี้แหล่ะ เพื่อไทยจะสูญพันธุ์และระบอบทักษิณจะล่มสลายไป เครนะเต้น เรากำลังรอดูแกเข้าคุก ชดใช้กรรมที่แกมีส่วนทำให้พี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ดีต้องตายเพราะชายชุดดำของกลุ่มพวกแก
24 ม.ค. 2562 เวลา 05.07 น.
คนแบบนี้
ใครจะเลือก ทำะไรไว้ ยังจำำพูดตัวเองไม่ได้ มาพูดใหม่ โกหล ไปเรื่อยๆ
24 ม.ค. 2562 เวลา 04.58 น.
ดูทั้งหมด