ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

สหรัฐ ตื่นตัว ความมั่นคงทางอาหาร ปรับแผนงาน ห่วงโซ่อุปทาน

MATICHON ONLINE
อัพเดต 07 ก.ค. 2565 เวลา 04.20 น. • เผยแพร่ 07 ก.ค. 2565 เวลา 04.00 น.

สหรัฐ ตื่นตัว ความมั่นคงทางอาหาร ปรับแผนงาน ห่วงโซ่อุปทาน

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ศึกษาติดตามแผนงานด้านการปฏิรูประบบอาหารและห่วงโซ่อุปทานอาหารของสหรัฐตามนโยบาย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ติดตามเฝ้าระวังนโยบายและมาตรการของต่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าของไทย

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

โดยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture: USDA) ได้ออกประกาศรายละเอียดกรอบแผนงานการปฏิรูประบบอาหาร (USDA’s Food System Transformation Framework) เพื่อปรับปรุงระบบอาหารของประเทศ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อาหารของสหรัฐ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ผู้ผลิต โดยเฉพาะผู้ผลิตขนาดเล็กและกลาง และชุมชนในชนบท โดยจะช่วยเพิ่มทางเลือกการบริโภค เพิ่มการเข้าถึงอาหาร และสร้างระบบนิเวศตลาดที่ดีขึ้น

กรอบแผนงานการปฏิรูประบบอาหารของสหรัฐสร้างขึ้นจากบทเรียนการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความขัดแย้งของสงครามรัสเซียกับยูเครน ที่ส่งผลกระทบให้ห่วงโซ่อุปทานอาหารทั่วโลกเกิดภาวะชะงักงัน ตอกย้ำความสำคัญด้านความมั่นคงทางด้านอาหาร และปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบอาหารของสหรัฐ ซึ่ง USDA ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และได้กำหนด 4 เป้าหมาย ภายใต้กรอบแผนงานการปฏิรูประบบอาหาร ได้แก่

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

1) การสร้างห่วงโซ่อุปทานอาหารที่ยืดหยุ่นมากขึ้น (Building a more resilient food supply chain) ให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีทางเลือกทางการตลาดที่มากขึ้นและดีขึ้น ให้ความสำคัญกับการกระจายฐานการผลิตสู่ชนบท ไม่ให้กระจุกตัวในพื้นที่ไม่กี่แห่ง พร้อมกับการลดมลภาวะจากการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสร้างงานในชนบทด้วย 2) การสร้างระบบอาหารที่ยุติธรรม (Creating a fairer food system) ต่อสู้กับการใช้อำนาจเหนือตลาด ช่วยผู้ผลิตและผู้บริโภคให้มีอำนาจและทางเลือกมากขึ้น โดยส่งเสริมตลาดท้องถิ่น ทั้งนี้ โควิด-19 ทำให้เห็นถึงอันตรายหากระบบอาหารมีผู้เล่นเพียงไม่กี่ราย

3) การทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาและราคาไม่แพง (Making nutritious food more accessible and affordable) และ 4) การเน้นย้ำความเท่าเทียมของชุมชนเมืองและชุมชนในชนบท (Emphasizing Equity) สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ชุมชนในชนบทหลุดพ้นจากความยากจน

ข้อมูลจาก USDA พบว่า สหรัฐมีการนำเข้าอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีอัตราเติบโตเฉลี่ย (Compound Average Growth Rate: CAGR) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ร้อยละ 5.09 ในปี 2564 สหรัฐนำเข้าสินค้าอาหารทั้งสิ้น 166,947 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวจากปี 2563 คิดเป็นร้อยละ 14.03 สินค้าอาหารที่สหรัฐนำเข้ามากที่สุด ได้แก่ ปลาและหอย 24,199 ล้านเหรียญสหรัฐ ผลไม้ 22,696 ล้านเหรียญสหรัฐ และผลิตภัณฑ์ที่รับประทานได้อื่นๆ (อาทิ ซอสปรุงรสและซุป น้ำมันหอมระเหย) 18,834 ล้านเหรียญสหรัฐ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

สำหรับไทย ปี 2564 การส่งออกสินค้าอาหารของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 34,259.61 ล้านเหรียญสหรัฐ (1.10 ล้านล้านบาท) ขยายตัวจากปี 2563 ร้อยละ 9.23 โดยสหรัฐเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารอันดับ 3 ของไทย (รองจากจีน และญี่ปุ่น) มีมูลค่าทั้งสิ้น 3,628.13 ล้านเหรียญสหรัฐ (116,355.30 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 4.27 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญจากไทยไปสหรัฐ ได้แก่ ของปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ (พิกัดศุลกากร 16) ร้อยละ 25.14 ของปรุงแต่งจากพืช (พิกัดศุลกากร 20) ร้อยละ 21.90 และธัญพืช (พิกัดศุลกากร 10) โดยเฉพาะข้าว ร้อยละ 13.75

นอกจากสหรัฐแล้วยังมีอีกหลายประเทศที่มีความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงทางด้านอาหารมากขึ้นและเริ่มคิดที่จะปรับเปลี่ยนแผนงานและนโยบายในการเพิ่มผลผลิตภายในประเทศ และลดการพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ เนปาลวางแผนงานและนโยบายของประเทศในปี 2566 โดยให้ความสำคัญกับภาคการผลิตของประเทศ และสนับสนุนการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศมากกว่าสินค้านำเข้า

ขณะที่อียิปต์อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการโครงการต่างๆ ด้านการเกษตร เพื่อปรับปรุงและพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรภายในปี 2573 เพื่อช่วยควบคุมการนำเข้าอาหาร และจัดหาตลาดภายในประเทศที่ยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้น ผู้ผลิตและผู้ส่งออกอาหารไทยควรติดตามมาตรการและแนวโน้มของตลาดคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถปรับตัวและเตรียมการรับมือกับสถานการณ์การลดการนำเข้าอาหารที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ดูข่าวต้นฉบับ